จิ๊กซอว์ที่หายไป ! “มาร์ติน โอเดการ์ด” บุรุษผู้มาเติมเต็มส่วนที่ขาดของทัพ ปืนใหญ่ อาร์เซน่อล (พร้อมบทสัมภาษณ์)

แม้ว่าในช่วงซัมเมอร์ที่ผ่านมาเราจะได้เห็นการมาของดีลใหญ่อย่างโธมัส ปาร์เตย์ หรือแม้แต่การก้าวขึ้นมาแก้ปัญหาในภาวะฉุกเฉินของเอมิล สมิธ โรว์ ที่พอจะทำให้แฟนปืนใจชื่นกันได้บ้าง แต่มันก็ยังคงมีบางอย่างติดค้างคาใจ เหมือนยังขาดอะไรอยู่

ความสงสัยนั้นเริ่มชัดขึ้นเรื่อยๆ เมื่อเวลาล่วงเลยมาถึงช่วงปีใหม่ ดูเหมือนว่าอาร์เซน่อลยังคงขาดนักเตะที่เป็นกองกลางตัวสร้างสรรค์เกมหรือเพลเมกเกอร์ที่มีความเฉียบคมในการผ่านบอลเข้าสู่พื้นที่สุดท้ายอยู่

นี่แหละคือเวลาที่เหมาะสมที่สุดที่พระเอกของเราจะปรากฏตัว

ด้วยสถานการณ์การแพร่ระบาดของโควิด-19 ที่ส่งผลกระทบต่อสภาพคล่องทางการเงินของอาร์เซน่อล ทำให้พวกเขาไม่ได้มีตัวเลือกมาก การจะลงไปลุยตลาดซื้อขายแบบป๋าคงไม่ได้เห็นแน่นอน ตัดออกไปเลย

ทว่า สโมสรกลับสามารถทำงานได้อย่างมีประสิทธิภาพและรวดเร็วในการปิดดีล “มาร์ติน โอเดการ์ด” มาร่วมทีมด้วยสัญญายืมตัวระยะสั้น 6 เดือนด้วยค่ายืม 2.5 ล้านปอนด์ ตัดหน้าเรอัล โซเซียดัดที่อยากจะดึงเข้าไปร่วมงานอีกครั้งไปแบบหน้าตาเฉย จากความต้องการของนักเตะเองอยากจะมาเก็บประสบการณ์ในเกาะอังกฤษและช่วยทีมดังจากลอนดอนเหนือในช่วงเวลาที่เหลือของฤดูกาล

บทสัมภาษณ์แรกของมาร์ติน โอเดการ์ด

โอเดการ์ด เปิดเผยว่าการพูดคุยกับ อาร์เตต้า กลายเป็นสิ่งสำคัญที่ทำให้เขาตัดสินใจย้ายมาอยู่กับ อาร์เซน่อล

“ผมได้คุยกับเขาก่อนย้ายมาที่นี่, แน่นอน นั่นเป็นเรื่องสำคัญมากสำหรับผมและเขาดูเป็นผู้จัดการทีมชั้นยอดนะ ผมชอบไอเดียของเขา, การมองเกมฟุตบอลของเขาและการปฏิบัติตัวของเขาด้วย” โอเดการ์ด บอกกับเว็บไซต์สโมสร

“เขาทำให้ผมรู้สึกยอดเยี่ยมและนั่นเป็นเรื่องสำคัญต่อการย้ายมาที่นี่ เขาเป็นกุญแจสำคัญเลยล่ะ”

“ผมว่าทุกครั้งที่คุณย้ายไปอยู่กับสโมสรใหม่ คุณอยากจะแน่ใจว่าจะรู้สึกดีและมีแผนวางเอาไว้ แต่ผมว่าทุกสิ่งที่ดีดูดีนะ”

“วันก่อน ดานี่ ส่งข้อความมาหาผมและเขาพูดถึงแต่สิ่งดีๆของสโมสร, ผู้จัดการทีมและทุกๆอย่าง”

“นั่นเป็นสิ่งสำคัญสำหรับผมเหมือนกันและเขาก็แฮปปี้ที่ผมย้ายมาที่นี่ ดังนั้นนั่นเป็นสิ่งที่ดีสำหรับผมนะ มีคนรู้จักอยู่ที่นี่และได้ยินจากคนที่อยู่ภายในสโมสร เป็นเรื่องที่ดีนะ”

“การมาเล่นในพรีเมียร์ลีกเป็นความฝันเสมอล่ะ และผมก็ชอบสไตล์การเล่นของ อาร์เซน่อล ด้วย สำหรับผมแล้ว เชสก์ ฟาเบรกัส คือหนึ่งในไอดอลเลย”

“ผมเคยมาทดสอบฝีเท้ากับอาร์เซนอลตอนอายุ 15 และได้คุยกันหลายเรื่อง ผมมีความรู้สึกดีที่กับการอยู่ที่นะ และผมก็คิดแต่เรื่องฟุตบอลเท่านั้น สุดท้ายผมอาจไม่ได้เลือกที่จะอยู่ที่นี่ แต่ผมก็มีช่วงเวลาที่ดี และจำมันได้เลยแหละ”

“ครั้งแรกที่ผมมายังสโมสร มันมีความรู้สึกที่ดี และทุกครั้งที่ได้ยินเกี่ยวกับอาร์เซนอล มันก็ยังเป็นแบบเดิมไม่เปลี่ยน ตอนนี้ผมย้ายมาแล้ว บางครั้งชะตาอาจจะลิขิตไว้ก็ได้”

 

เกาะติดวงการลูกหนังไทยและต่างประเทศ

Line @kickoff69 ได้ที่นี่

 

 

บ๊วยคาคอ ! ประกาศผลสอบ แข้ง แมนฯ ยูไนเต็ด เปิดบ้านพ่าย เชฟฟิลด์ ยูไนเต็ด

คะแนนนักเตะ แมนฯ ยูไนเต็ด

ดาบิด เดเคอา – 5/10
ลูกแรกออกมาตัดบอลพลาด ส่วนลูกที่ 2 ก็เคลียร์ไม่ขาดทำทีมเสียเปรียบ

แอรอน วาน-บิซซาก้า – 6/10
เล่นเกมบุกได้ดีมากขึ้นและสามารถประครองเกมรับฝั่งตัวเองเอาไว้ได้ตามมาตรฐาน

แฮร์รี แม็คไกวร์ – 6/10
แม้จะทำประตูตีเสมอได้แต่ฟอร์มการเล่นยังดูดร็อปลงไปมากทีเดียว อาจจะเป็นเพราะไม่ค่อยได้เข้าคู่กับ ตวนเซเบ้

แอ็กเซล ตวนเซเบ้ – 4/10
ดูรนตลอดทั้งเกมและมีส่วนทำให้ทีมเสียประตูทั้ง 2 ลูก

อเล็กซ์ เตลลิส – 6/10
เห็นได้ชัดว่าทำไมเขาไม่สามารถแย่งตำแหน่งมาจาก ชอว์ ได้ เพราะด้อยกว่าทั้งเกมรับและรุก ยังดีที่มีแอสซิสต์จากลูกเตะมุม

พอล ป็อกบา – 5/10
ได้ครองบอลค่อนข้างเยอะแต่ไม่ได้มีจังหวะจ่ายบอลสร้างโอกาสมากนัก

เนมานยา มาติช – 5/10
หลังเสียประตูแรกก็ดูจะหลุดฟอร์มไปเลย และความเชื่องช้าของเขาก็ทำให้กองกลางของทีมเยือนเล่นได้ง่ายขึ้นมาก

เมสัน กรีนวู้ด – 6/10
มีโอกาสจบสกอร์ได้บ้างในครึ่งแรกและดูจะเล่นดีที่สุดในแดนหน้าของทีม

บรูโน แฟร์นันดส์ – 6/10
จ่ายบอลเสียเยอะ แต่ก็ยังคงช่วยไล่บอลและตัดบอลดังเดิม

มาร์คัส แรชฟอร์ด – 5/10
วูบวามยามได้เล่นฝั่งซ้ายที่ถนัด แต่ดูจะหายไปเลยหลัง คาวานี ลงมาแล้วเขาต้องโยกไปขวาแทน

อองโตนี มาร์กซิยาล – 2/10
จ่ายบอลขาดๆเกินๆ เสียบอลแล้วไม่ช่วยไล่ ไม่พยายามวิ่งหาช่อง นี่เป็นอีกเกมที่เขาเล่นได้แย่ที่สุดในสนาม

ตัวสำรอง

เอดินสัน คาวานี – 6/10 น่าจะลงมาเร็วกว่านี้ เพราะลงมาแล้วทีมเล่นดีขึ้น (แทน กรีนวู้ด น.66)

ลุค ชอว์ – 5/10 พยายามเต็มที่แล้ว (แทน เตลลิส น.82)

ดอนนี ฟาน เดอ เบ็ค – 6/10 แทบไม่ได้สร้างอิมแพ็กกับเกม (แทน ตวนเซเบ้ น.83)

 

เกาะติดวงการลูกหนังไทยและต่างประเทศ

Line @kickoff69 ได้ที่นี่

ป็อกบูม ! ป็อกบา คืนฟอร์มร่างเทพ แต่จะดีพอช่วยทัพ ปีศาจแดง คว้าแชมป์หรือเปล่า

ในช่วงรอบปีที่ผ่านมา ชื่อของบรูโน่ แฟร์นันด์ส ถูกพูดถึงเป็นอย่างมากในฐานะคีย์แมนของ “ปีศาจแดง” ที่จะขาดไปไม่ได้เลย

แน่นอนฟอร์มของดาวเตะทีมชาติโปรตุกีสร้อนแรงถึงขั้นที่แฟนบอลแมนฯ ยูไนเต็ด ไม่จำเป็นต้องง้อห้องเครื่องชาวฝรั่งเศสอีกต่อไป

แล้วยิ่งช่วงที่ ป็อกบา หลุดไปเป็นตัวสำรอง เฟร็ด กับ สก็อตต์ แม็คโทมิเนย์ ก็ทำผลงานได้ดีเหลือเกิน

ด้วยเหตุนี้เอง เจ้าของค่าตัว 89 ล้านปอนด์จึงเริ่มหมดความหมายกับ ยูไนเต็ด ไปเรื่อย ๆ

อย่างไรก็ตาม โอเล่ กุนนาร์ โซลชา ยังคงมีความไว้เนื้อเชื่อใจในตัวป็อกบาอยู่เหมือนเดิม

โซลชา พร้อมให้โอกาสเสมอ หากร่างกายของเขาฟิตสมบูรณ์เต็มร้อย หลังจำเป็นต้องเรียกความฟิตรอบใหม่เนื่องจากติดโควิด-19

ซึ่งการคัมแบ็คทีมตัวจริงรอบล่าสุด ป็อกบา ได้งัดร่างเทพของเขากลับมาด้วย มันจึงเป็นเหตุผลสำคัญที่ทำให้แมนฯ ยูไนเต็ด เก็บแต้มเป็นกอบเป็นกำและยืนระยะเป็นจ่าฝูงมาได้จนถึงตอนนี้

แม้ปัจจุบัน ป็อกบา จะเหลือสัญญาในถิ่นโอลด์ แทร็ฟฟอร์ด ถึงแค่ซัมเมอร์นี้เท่านั้น แต่ดูเหมือนว่าเจ้าตัวจะโฟกัสช่วยทีมเป็นอันดับแรก

การที่ ป็อกบา กลับมาตั้งใจเล่นเพื่อทีม มันส่งผลอย่างเห็นได้ชัด โดยเฉพาะเรื่องของสปิริตภายในทีมที่ดูกระหายความสำเร็จกันมากขึ้น

ดังนั้นการต่อสัญญากับ ป็อกบา มันน่าจะเป็นเรื่องดีกว่าการที่จะยอมเสียกองกลางคลาสเหลือแดกรายนี้ออกไปอย่างแน่นอน

พูดถึงเรื่องค่าเหนื่อยตอนนี้ ป็อกบา รับอยู่สัปดาห์ละ 2.9 แสนปอนด์ เชื่อเลยว่าหากสโมสรยอมอัพเพิ่มให้เป็น 3.5-4 แสนปอนด์ต่อสัปดาห์

ดาวเตะวัย 27 ปีน่าจะเลือกอยู่ต่อ ด้วยจำนวนค่าเหนื่อยที่สมเหตุสมผลในยุคไวรัสระบาด ซึ่งเป็นตัวเลขที่ทีมอื่นคงไม่กล้ายื่นให้มากกกว่านี้

แล้วยิ่งแมนฯ ยูไนเต็ด สถาปนาเป็นทีมลุ้นแชมป์เต็มตัวแบบนี้ด้วยแล้ว มันยิ่งดึงดูดใจให้อยู่ต่อ ต่างจากปีก่อน ๆ ที่อยู่เล่นไปวัน ๆ

แต่สุดท้ายแล้ว หาก ป็อกบา เลือกที่จะไม่ต่อ ยูไนเต็ด ก็คงต้องใช้เงื่อนไขพิเศษ เพื่อขยายสัญญาออกไป 1 ปี

โดยระหว่างนั้นก็ต้องหาทางขายให้ได้ราคา แต่ถ้าแย่ไปกว่านั้นก็คือเสียฟรีไปเลย แน่นอนนี่คงไม่ใช่ทางเลือกที่แฟนผีแดงอยากให้เกิดขึ้น

สิ่งที่แฟนผีแดงอยากให้เกิดขึ้นก็คือจบซีซั่นนี้พวกเขาขอมีโทรฟี่ประดับสโมสรสักถ้วย และมันจะฟินยิ่งขึ้นหากถ้วยใบนั้นคือถ้วยพรีเมียร์ลีกในรอบ 8 ปี

สาเหตุที่แมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ด กลับมาโชว์ฟอร์มเก่งได้อีกครั้ง ต้องยอมรับว่าการคืนร่างเทพของปอล ป็อกบา คือหนึ่งในปัจจัยสำคัญจริง ๆ

 

เกาะติดวงการลูกหนังไทยและต่างประเทศ

Line @kickoff69 ได้ที่นี่

 

 

แผนนี้แจ่มมั้ย ! เผยโฉม สิงห์บลู ยุคใหม่หาก ทูเคิ่ล ได้ 3 สตาร์เสริมทัพ

สื่อต่างประเทศหลายสำนักต่างรายงานตรงกันว่า โธมัส ทูเคิ่ล เตรียมได้รับการแต่งตั้งให้มาสานงานต่อจาก แฟร้งค์ แลมพาร์ด หลังจากกุนซือชาวเยอรมันกำลังว่างงานนับตั้งแต่ถูก ปารีส แซงต์ แชร์กแมง ปลดออกจากตำแหน่งเมื่อเดือนที่แล้ว

ทั้งนี้คาดว่าสาเหตุที่ เชลซี เลือก ทูเคิ่ล เข้ามากุมบังเหียนนั้นจะสามารถเข้ามาเรียกฟอร์มการเล่นของคู่หูทีมชาติเยอรมันอย่าง ติโม แวร์เนอร์ และ ไค ฮาแวร์ทซ์ ที่ไม่สามารถเรียกฟอร์มเก่งออกมากได้นับตั้งแต่ย้ายมาจากลีกเมืองเบียร์ด้วยค่าตัวมหาศาลเมื่อช่วงซัมเมอร์ที่ผ่านมา

ล่าสุด เดอะ ซัน ได้จัดทำไลน์อัพ เชลซี ในยุคของ ทูเคิ่ล ในอนาคต หากได้ใช้งบเสริมทัพซื้อสตาร์ดังเข้ามาเพิ่มทั้ง ดาโยต์ อูปาเมกาโน่ ปราการหลังจาก แอร์เบ ไลป์ซิก ที่ทำผลงานได้อย่างโดดเด่นและตกเป็นข่าวเชื่อมโยงกับยักษ์ใหญ่ทั่วยุโรป

ขณะที่รายต่อมาเป็น มาร์โก แวร์รัตติ มิดฟิลด์ตัวเก่งจาก ปารีส แซงต์ แชร์กแมง ที่มีข่าวเชื่อมโยงในการย้ายออกจากทีม และจะได้กลับมาร่วมงานกับ ทูเคิ่ล อีกครั้ง


ปิดท้ายที่ เออร์ลิง ฮาแลนด์ กองหน้าคนเก่ง โบรุสเซีย ดอร์ทมุนด์ ที่มีรายงานว่า เชลซี วางแผนการใหญ่ที่จะทุ่มเงินเป็นสถิติใหม่สโมสรเพื่อดึงตัวมาร่วมทีมให้ได้หลังจบฤดูกาลนี้

และนี่คาดว่าจะเป็นหน้าตา 11 ตัวจริงของ เชลซี ในยุค โธมัส ทูเคิ่ล หากได้แข้งเหล่านี้เข้ามาเสริมทัพ โดยมาในระบบ 4-3-3

เริ่มจากตำแหน่งผู้รักษาประตูยังคงเป็น เอดูอาร์ เมนดี้ ที่รับบทมือ 1 ต่อไป ส่วนแบ็กโฟร์ให้ รีซ เจมส์ ยืนแบ็กขวา ด้าน เบน ชิลเวลล์ เล่นทางซ้าย ส่วนคู่เซนเตอร์เป็น ติอาโก้ ซิลวา จับคู่กับ ดาโยต์ อูปาเมคาโน่

ขณะที่กองกลางมี เอ็นโกโล่ ก็องเต้ ยืนทำหน้าที่คู่กับ มาร์โก แวร์รัตติ โดยมี ไค ฮาแวร์ทซ์ คอยทำหน้าที่เป็นตัวบัญชาเกมรุกตามถนัด

ส่วน 3 ประสานแดนหน้าให้ คริสเตียน พูลิซิช ไปยืนริมเส้นด้านขวา ขณะที่ ติโม แวร์เนอร์ ประจำการฝั่งซ้าย โดยมี ฮาแลนด์ รับบทกองหน้าตัวเป้า

 

เกาะติดวงการลูกหนังไทยและต่างประเทศ

Line @kickoff69 ได้ที่นี่

ประกาศผลสอบ ! ซาลาห์ซัดสอง – บรูโน่ ซูเปอร์ซับ ผีแดงเขี่ยหงส์ร่วง เอฟเอ คัพ

คะแนนนักเตะ แมนฯ ยูไนเต็ด

ดีน เฮนเดอร์สัน – 6/10
แม้จะเสียถึง 2 ประตูในเกมวันนี้ แต่ก็มีจังหวะเซฟสวย ๆ ช่วยทีมเอาไว้ได้หลายครั้ง

อารอน วาน บิสซาก้า – 7/10
สามารถรับมือกับเกมรุกของทีมเยือนได้ดีโดยเฉพาะครึ่งหลัง แถมมีจังหวะเติมเกมขึ้นสูงสวย ๆ หลายครั้ง

แฮร์รี แม็คไกวร์ – 6/10
แม้จะไม่มีข้อผิดพลาดที่เห็นได้ชัดเจน มีบางช่วงที่ถูกแนวรุกของทีมเยือนบุกกดดันอย่างหนัก แต่ยังสามารถแก้ไขจังหวะเฉพาะหน้าเอาไว้ได้ดี

วิคตอร์ ลินเดอเลิฟ – 6/10
เห็นได้ชัดว่ามีปัญหาชัดเจนในการรับบมือกับความคล่องตัวของแนวรุกทีมเยือน แถมวันนี้ดูจะยืนตำแหน่งได้ไม่ค่อนดีนักจนเกือบทำให้ทีมเสีบประตูหลายครั้ง

ลุค ชอว์ – 6/10
งานค่อนข้างหนักในเกมรับ โดยเฉพาะการต้องรับมือกับความเร็วของ ซาลาห์ แต่ก็พอจะมีจังหวะตัดบอลสวย ๆ ให้เห็นอยู่บ้าง

สกอตต์ แม็คโทมิเนย์ – 6/10
วันนี้ดูจะเล่นได้ต่ำกว่ามาตรฐานเล็กน้อยในเกมรับ ครองบอลไว้กับตัวนานเกินไปจนเสียโอกาสที่ทีมจะได้โต้กลับ

พอล ป็อกบา – 7/10
วันนี้บทบาทค่อนข้างโดดเด่นในช่วงครึ่งแรก มีจังหวะได้ขึ้นมาลุ้นประตูหลายครั้ง แถมยังมีจังหวะตัดบอลในเกมรับสวย ๆ ช่วยทีมได้ค่อนข้างเยอะในเกมนี้

ดอนนี ฟาน เดอ เบ็ค – 5/10
บทบาทในเกมถือว่าน้อยมากในตำแหน่งตัวปั้นเกมแทนที่ บรูโน จนกระทั่งถูกเปลี่ยนตัวออกไปในช่วงครึ่งชั่วโมงสุดท้าย

เมสัน กรีนวูด – 7/10
แม้ฟอร์มจะยังไม่เข้าทีนัก แต่ก็มีส่วนร่วมกับทั้ง 2 ประตูของทีมที่ทั้งยิงทั้งจ่ายช่วยให้ทีมคว้าชัยมาครองได้

มาร์คัส แรชฟอร์ด – 8/10
ยังดูเล่นค่อนข้างหวงบอลเช่นเคย แต่เกมรุกริมเส้นจัดว่าหวือหวาพอสมควร ทำได้ 1 ประตูกับอีก 1 แอสซิสต์ในเกมวันนี้

เอดิสัน คาวานี – 6/10
แม้จะได้บอลค่อนข้างน้อย แถมมีจังหวะเสียบอลกลางสนามจนทำให้ทีมเสียประตู แต่ก็จัดว่ามีประโยชน์กับทีมพอสมควร มีโอกาสโหม่งชนเสา แถมเรียกฟรีคิกในจังหวะประตูชัยให้ทีมได้ในช่วงท้ายเกม

ตัวสำรอง
เฟร็ด (ลงสนามนาทีที่ 66 แทนที่ กรีนวูด) – 6/10
ลงมาช่วยไล่บอลกลางสนามได้ค่อนข้างดี

บรูโน เฟอร์นันเดส (ลงสนามนาทีที่ 66 แทนที่ ฟาน เดอ เบ็ค) – 7/10
ลงมาสร้างความแตกต่างได้อย่างชัดเจน สร้างสรรค์จังหวะให้ทีมได้อย่างยอดเยี่ยม แถมยังยิงฟรีคิกเป็นประตูชัยให้ทีมได้อีกด้วย

อ็องโตนี มาร์กซิยาล (ลงสนามนาทีที่ 86 แทนที่ แรชฟอร์ด) – N/A

คะแนนนักเตะ ลิเวอร์พูล
อลิสซอน เบ็คเกอร์ – 6/10
ไม่สามารถโทษเจ้าตัวได้กับทั้ง 3 ประตูที่เสียไปในเกมนี้

เทรนท์ อเล็กซานเดอร์-อาร์โนลด์ – 6/10
หวังผลไม่ได้อย่างที่ต้องการกับจังหวะครอสบอลท่ีริมเส้น มีปัญหาในการรับมือกับ แรชฟอร์ด

รีส วิลเลียมส์ – 4/10
มีความผิดพลาดให้เห็นหลายต่อหลายครั้งโดยเฉพาะจังหวะอันนำไปสู่การเสียประตูที่ 2 ของทีมให้ แรชฟอร์ด

ฟาบินโญ – 6/10
ไม่ได้มีช็อตน่าเป็นห่วงให้เห็นนักนอกจากการกลับประจำการในพื้นที่รับผิดชอบไม่ทันอันเป็นที่มาของการเสียประตูตีเสมอ 1-1

แอนดี้ โรเบิร์ตสัน – 6/10
เช่นเดียวกับ ฟาบินโญ ที่มีส่วนร่วมกับการเสียประตูแรก งานชุกในการรับมือกับ เมสัน กรีนวูด

เจมส์ มิลเนอร์ – 7/10
ไม่ได้กระตือรือล้นมากเพียงพอในการวิ่งไล่ กรีนวูด ในจังหวะสวนกลับเร็วของเข้าถิ่น เป็นช็อตน่าผิดหวังของเจ้าตัวเพียงครั้งเดียวในเกมนี้ก่อนที่จะมีบทบาทในการบีบพื้นที่แข้ง ปีศาจแดง อย่างต่อเนื่องและมีส่วนกับการได้ประตูตีเสมอ 2-2 ของ หงส์แดง

จินี ไวนัลดุม – 6/10
วูบวาบกับการเคลื่อนที่ในแดนกลาง

ติอาโก้ อัลคันทารา – 6/10
มีปัญหาในการตามความรวดเร็วของแข้ง ปีศาจแดง จนต้องงัดฟาวล์ตัดเกมหลายครั้ง

โมฮาเหม็ด ซาลาห์ – 8/10
ค่อยๆ มีบทบาทกับเกมมากขึ้นเรื่อยๆ เมื่อเวลาผ่านไป น่าเสียดายที่ไม่อาจทำแฮตทริคได้ในเกมนี้

โรแบร์โต้ ฟิร์มิโน – 7/10
ทำได้ดีกับการบีบพื้นที่แนวรับของเจ้าถิ่น ได้แอสซิสต์ให้กับ ซาลาห์ ในประตูเบิกร่องและประตูที่ 2

เคอร์ติส โจนส์ – 6/10
ใช้เวลาอยู่พักใหญ่กว่าที่จะจับจังหวะของเกมได้ มีส่วนร่วมในการตัดเข้าในเพื่อเปิดเกมรุกจากพื้นที่ตรงกลาง

ตัวสำรอง
ซาดิโอ มาเน (ลงสนามแทนที่ ไวนัลดุม นาทีที่ 65) – 6/10
ได้รับใบเหลืองจากจังหวะทำฟาวล์ใส่ เฟร็ด โดยรวมเร่งจังหวะของเกมรุกให้ หงส์แดง

ดิว็อค โอริกี (ลงสนามแทนที่ ฟิร์มิโน นาทีที่ 81) – N/A

เซอร์ดาน ชากิรี (ลงสนามแทนที่ ติอาโก้ นาทีที่ 81) -N/A

เกาะติดวงการลูกหนังไทยและต่างประเทศ

Line @kickoff69 ได้ที่นี่

หมดเวลาพิสูจน์ตัวเองแล้ว ?! อ็องโตนี่ มาร์กซิยาล กลายเป็นคนละคนจากซีซั่นก่อน

ในซีซั่น 2019/2020 หัวหอกชาวฝรั่งเศสกระทุ้งไปทั้งสิ้น 23 ประตูรวมทุกรายการ ถือเป็นการยิงประตูต่อหนึ่งฤดูกาลได้มากที่สุด นับตั้งแต่ที่ย้ายมาค้าแข้งกับปีศาจแดง

ด้วยฟอร์มดังกล่าวจึงทำให้ใครหลายคนเชื่อมั่นว่าถึงเวลาแล้ว มาร์กซิยาล จะพัฒนาฝีเท้าและยกระดับฟอร์มการเล่นขึ้นไปเรื่อย ๆ

จนกลายเป็นแข้งคนสำคัญที่ทีมสามารถฝากความหวังไว้ได้สักที หลังจากเจ้าตัวย้ายมาสวมยูนิฟอร์มอสูรแดงตั้งแต่อายุ 19 ขวบ

อย่างไรก็ตาม ความหวังที่จะได้เห็น มาร์กซิยาล ทำผลงานร้อนแรงต่อเนื่องจากซีซั่นก่อน(โดยเฉพาะช่วงท้าย) กลับกลายเป็นสิ่งที่ลุ้นยากเหลือเกิน

เพราะฟอร์มของกองหน้าที่กำลังจะอายุครบ 25 ปีรายนี้ดำดิ่งลงเหวอย่างไม่น่าเชื่อ

มาร์กซิยาล ลงเล่นในซีซั่นนี้ไปแล้ว 9 นัด แบ่งเป็นพรีเมียร์ลีก 5 เกม และแชมเปี้ยนส์ลีก 4 เกม

โดยเขาเพิ่งจะยิงได้แค่ 2 ประตู ซึ่งหนึ่งในสองลูกนั้นเป็นการขออาสายิงลูกจุดโทษเพื่อเรียกความมั่นใจ

จำนวนนาทีที่มาร์กซิยาลใช้ต่อการยิง 1 ประตู

ผลงานการทำประตูว่าแย่แล้ว แต่ฟอร์มการเล่นโดยรวมนั้นแย่กว่า

อดีตดาวเตะโมนาโก มักถูกวิจารณ์ถึงความทุ่มเททั้งในและนอกสนาม พูดง่าย ๆ ก็คือเขาดูเป็นศูนย์หน้าที่ขี้เกียจนั่นเอง

ค่าเฉลี่ยจำนวนครั้งการยิงต่อเกมของมาร์กซิยาล
ฤดูกาล 2019/20 ได้ยิง 2.7 ครั้งต่อเกม
ฤดูกาล 2020/21 ได้ยิง 1.6 ครั้งต่อเกม

ด้วยเหตุนี้เองที่แฟนบอลปีศาจแดงหลายคนจึงเริ่มออกอาการเบื่อและอดทนรอพัฒนาการของเขาไม่ไหวแล้ว

พร้อมกับหวังให้ โอเล่ กุนนาร์ โซลชา ตัดสินใจดร็อป มาร์กซิยาล สักที แล้วให้โอกาสคนอื่นแทน

โดยเฉพาะ เอดินสัน คาวานี่ ดาวยิงคนใหม่ที่เพิ่งย้ายมาแบบไร้ค่าตัว ซึ่งแม้จะดูมีอายุ แต่ก็น่าจะสร้างประโยชน์ให้กับทีมได้มากกว่า

บางที 5 ปีที่ผ่านมามันก็น่าจะเพียงพอแล้วต่อคำตอบที่ว่า มาร์กซิยาล ยังไม่ดีพอที่จะเป็นศูนย์หน้าตัวความหวังของแมนฯ ยูไนเต็ด

 

เกาะติดวงการลูกหนังไทยและต่างประเทศ

Line @kickoff69 ได้ที่นี่

เป็นเพราะอะไรกัน ! สาเหตุที่ทำให้ ติโม แวร์เนอร์ ฟอร์มตกแบบน่าใจหาย

หากย้อนกลับไปเมื่อซีซั่นที่แล้ว เทียบในช่วงเวลาเดียวกัน ติโม แวร์เนอร์ซัดไปแล้ว 20 ประตูให้กับแอร์เบ ไลป์ซิก ในบุนเดสลีก้า ถัดมาอีก 1 ปี เขากลับยิงให้เชลซีในลีกได้เพียงแค่ 4 ประตูเท่านั้น ห่างกันถึง 16 !

แน่นอนว่าปัจจัยในเรื่องของสภาพแวดล้อมต้องเข้ามามีส่วน ไม่ว่าจะเป็นการที่แข้งวัย 24 ปี ออกมาหาความท้าทายในต่างแดนครั้งแรก หรือลีกฟุตบอลอาชีพที่มีความเข้มข้นขึ้นหลายเท่า แต่ถึงกระนั้นแล้ว ยังไงแลมพาร์ดก็ต้องคาดหวังผลผลิตจากดาวเตะเจ้าของค่าตัว 57.6 ล้านปอนด์มากกว่าที่เป็นอยู่แน่นอน

แต่จะว่าไป ก็ไม่ใช่ว่าแวร์เนอร์จะไม่เคยแสดงพิษสงค์ออกมาให้สาวกเดอะ บลูส์เห็นเลยสักหน่อย หากจำกันได้ 2 ประตูกับอีก 1 แอสซิสต์ในเกมพรีเมียร์ลีกนัดที่ 5 กับเซาแธมป์ตัน ดูเหมือนจะกลายเป็นจุดเปลี่ยนของเชลซีที่ตอนแรกออกสตาร์ทซีซั่นมาแบบกระท่อนกระแท่น

แวร์เนอร์ต่อยอดความน่าตื่นเต้นในตัวเขาด้วยการซัดเพิ่มอีก 2 ประตูในช่วง 3 เกมถัดมา ทุกอย่างในตอนนั้นทำท่าเหมือนจะออกมาสดใส แต่เปล่าเลย… หัวหอกจากแดนไส้กรอกกลายเป็นกองหน้าที่ไร้ความมั่นใจ ตีนบอดยาวนับตั้งแต่ส่งบอลผ่านมือ อารอน แรมส์เดล เมื่อ 11 เกมที่แล้ว

ทุกอย่างมันช็อตไปดื้อๆ เขาเป็นอะไรไป? นี่คือนักเตะคนดังคนเดิมกับที่ตะบัน 95 ประตู ใน 159 เกมให้ไลป์ซิก มันเป็นเรื่องของจังหวะฟอร์มตก , ความลำบากในการปรับตัวกับชีวิตใหม่ในอังกฤษ , หรือเป็นข้อบกพร่องของเชลซีเองที่ละเลยบางอย่างไป

วันนี้เรามีข้อมูลที่น่าสนใจจาก ราล์ฟ ฮาเซนฮุทเทิล กุนซือนักบุญ ซึ่งเคยร่วมงานกับแวร์เนอร์เป็นเวลา 2 ซีซั่นที่ไลป์ซิก ที่ฟังแล้วก็ถือว่ามีเหตุผลพอตัวเลย

“ผมรู้จักติโมเป็นอย่างดี และผมเห็นมากับตาแล้วกับช่วงเวลาที่เขามีผลงานตกต่ำ” กุนซือชาวออสเตรียกล่าว

“บ่อยครั้งที่ผมเห็นเรื่องแบบนี้เกิดขึ้นกับตัวเขา มันก็มักจะมาจากระบบการเล่นที่ไม่สอดคล้องกับสไตล์ของติโม ทีมไม่ได้ใช้ระบบที่สามารถเอื้อให้เขาได้ดึงศักยภาพสูงสุดของตัวเองออกมาปรากฏในสนาม”

“เขาเป็นนักเตะประเภทที่ทีมจะต้องปรับระบบเข้าหาเขา และถ้าคุณทำเรื่องนี้ให้เขา

ได้ อะไรที่คุณต้องการจากผู้เล่นในตำแหน่งกองหน้า เขาจะจัดให้คุณได้หมด”

กับที่ไลป์ซิก มันชัดเจนอยู่แล้วว่าตัวอันตรายคือใคร ระบบมากมายถูกสับเปลี่ยนนำมาใช้ บางครั้งก็ถ่างเขาไปอยู่ปีกซ้ายบ้าง บางทีก็จับถอยลงมาเป็นตัวต่ำยืนหลังหอกตัวเป้าบ้าง หรือแม้แต่คอมโบกับยูสเซฟ โพลเซ่นในตำแหน่งหน้าคู่ก็ทำได้ ไม่ว่าจะเป็นเกมแบบไหน แต่ระบบที่มีให้เลือกใช้เหล่านี้ ต่างเป็นระบบที่เอื้อประโยชน์ต่อแวร์เนอร์ ในการสร้างความเสียหายให้คู่แข่งทั้งสิ้น

ยกตัวอย่างเกมที่โฆเซ่ มูรินโญ่พาไก่เดือยทองบุกเยือนไลป์ซิกในเกมแชมเปี้ยนส์ลีกรอบ 16 ทีมสุดท้ายเมื่อซีซั่นที่แล้ว หลังสร้างความได้เปรียบบุกเชือด 1-0 ในเลกแรกจากจุดโทษของแวร์เนอร์.. ยูเลี่ยน นาเกลส์มันน์ กุนซือหนุ่มของทีมปิ๊งไอเดีย จัดการโยกตำแหน่งแวร์เนอร์จากที่เล่นเป็นตัวกลางในนัดแรก ให้ไปอยู่ริมเส้นฝั่งซ้ายแทนในนัดที่สอง

เพราะเขารู้ดีว่ามูรินโญ่ไม่ได้เชื่อใจในแบ็คขวาสองตัวที่มีอยู่ ทั้งแซร์จ อูริเย่ร์ และ จาเฟ็ต แทงกังก้า พร้อมกับมั่นใจว่ากุนซือไก่เดือยทองจะต้องกำชับลูกทีมให้เปิดเกมบุกเต็มพิกัดเพื่อทวงอเวย์โกลคืนแน่นอน

ทุกอย่างเป็นไปตามอย่างที่นาเกลส์มันส์คาดการณ์ไว้ไม่มีผิด ติโม แวร์เนอร์ในตำแหน่งปีกซ้าย สร้างความปั่นป่วนให้แนวรับสเปอร์สจนเสียขบวน เขารอจังหวะโจมตีลูกทีมของมูรินโญ่ด้วยจังหวะสวนกลับเร็ว จบ 90 นาทีอัดสเปอร์สกลับบ้านไม่ถูกไป 3-0

ตัดภาพมาที่เชลซีตอนนี้ ยังไม่มีอะไรใกล้เคียงกับสภาพแวดล้อมเดิมของแวร์เนอร์เลยสักนิด นอกจากแลมพาร์ดจะยังหา 11 ตัวจริงที่ดีที่สุดของตัวเองไม่เจอแล้ว กุนซือหนุ่มยังมีปัญหาเรื่องการมอบหมายหน้าที่ให้นักเตะที่ถูกเลือกลงสนามอีกต่างหาก

แวร์เนอร์ถูกจับเล่นตรงกลางบ้าง ปีกซ้ายบ้าง ขนาดลองโยกไปอยู่ปีกขวาที่ไม่คุ้นเคยก็มีให้เห็นมาแล้วในเกมแชมเปี้ยนส์ลีกบุกเยือนคราสโนดาร์ ลองคิดตามแล้วนะก็ยังหาเหตุผลของแลมพาร์ดไม่เจอเหมือนกันว่าทำแบบนั้นทำไม?

ในขณะเดียวกัน เมื่อใดก็ตามที่แวร์เนอร์ต้องถูกฉีกออกไปอยู่ด้านข้าง โอลิวิเย่ร์ ชิรูด์และแทมมี่ อับราฮัม ก็ได้โอกาสสับเปลี่ยนกันมายืนตำแหน่งหน้าเป้าแทน ศูนย์หน้าจากแดนน้ำหอมออกสตาร์ทเกมพรีเมียร์ลีกในฐานะตัวค้ำหอกไปแล้วด้วยกัน 5 เกม ขณะที่อับราฮัมลงตัวจริงไป 8 เกม

นี่หมายความว่าแลมพาร์ดไม่ได้มีแผงแนวรุกที่ดีที่สุดในใจเลย เขายังลองนู้นลองนี้อยู่ ซึ่งแน่นอนว่าสิ่งที่ออกมาคือ เขาดึงศักยภาพของกองหน้าแต่ละคนที่มีอยู่ออกมาไม่ได้เลยแม้แต่คนเดียว โดยเฉพาะคนที่เพิ่งซื้อตัวเข้ามาใหม่เมื่อช่วงซัมเมอร์ ซึ่งผ่านการรับใช้สโมสรซึ่งมีเอกลักษณ์และรูปแบบการเล่นที่ชัดเจนกว่าที่เชลซีเป็นอยู่หลายขุม

ยอดทีมจากลอนดอนตะวันตกรั้งอันดับ 4 ในลิสต์ทีมที่มีค่าเฉลี่ยการครองบอลสูงสุดในพรีเมียร์ลีก ซึ่งเป็นสถิติที่ไลป์ซิกเองก็มีสูงเช่นกันในบุนเดสลีก้ากับตอนที่มีแวร์เนอร์อยู่

แต่ทว่าลูกทีมของแลมพาร์ดกลับรั้งอันดับที่ 14 ในพรีเมียร์ลีก หากแบ่งนับเพียงแค่การครองบอลในพื้นที่สุดท้ายของคู่แข่ง และอยู่ในอันดับ 7 สำหรับทีมที่ขึ้นไปเพรสซิ่งแดนบน

วิเคราะห์จากเกมที่ผ่านมาของเชลซี พอถึงจังหวะที่พวกเขาจะเปลี่ยนเกมจากรับเป็นรุก หรือทวงบอลคืนกลับมาในพื้นที่อันตราย ฟุตบอลของเชลซียังห่างไกลกับสิ่งที่แวร์เนอร์คุ้นเคยอีกเป็นมหาสมุทร ทีมที่เหมาะกับแวร์เนอร์ หากเทียบสถิติอย่างเป็นทางการของพรีเมียร์ลีก คือทีมอย่างแมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ด,ลิเวอร์พูล หรือ เซาแธมป์ตัน ที่จ้องจะเพรสซิ่งเพื่อแย่งบอลคืนจากแดนบน ดันเกมขึ้นโจมตีด้วยจังหวะบอลที่รวดเร็ว หรือทั้งสองอย่าง

ในขณะที่เชลซียังหาทางออกให้กับแวร์เนอร์ไม่เจอ กลับยังมีอีกหนึ่งสถิติที่อาจอธิบายเรื่องฟอร์มอันน่าผิดหวังของแวร์เนอร์ในซีซั่นนี้ได้ นอกจากพาทริค แบมฟอร์ด(12 ครั้ง),คริส วู๊ดและออลลี่ วัตส์กิน(10 ครั้ง) ติโม แวร์เนอร์เองก็เป็นอีกคนที่อยู่ในแถวหน้าของรายชื่อหัวหอกที่พลาดโอกาสทองในการทำประตูมากที่สุด ที่จำนวนถึง 9 ครั้งด้วยกัน

ซึ่งสำหรับหลายคนที่ติดตามผลงานของแวร์เนอร์ในบุนเดสลีก้ามาอย่างใกล้ชิด จะไม่แปลกใจกับสถิติที่ออกมาเลย แวร์เนอร์อาจจะถูกยกย่องมาต่างๆนาๆ แต่เขาไม่ใช่กองหน้าที่มีความนิ่งมาตั้งแต่ไหนแต่ไรอยู่แล้ว แต่จุดเด่นของเขาคือความขยัน การเคลื่อนที่และความเร็วที่มักเปลี่ยนโอกาสที่มีให้เป็นประตู

ตอนนี้สิ่งที่แวร์เนอร์จำเป็นต้องทำให้ได้คืออดทนและใจเย็นให้มากถึงมากที่สุด การกดดันตัวเองในตอนนี้จะไม่ช่วยอะไร และที่สำคัญที่สุด แลมพาร์ดจะต้องมีระบบการเล่่นที่แน่ชัดของตัวเองได้แล้ว ทีมที่มีลักษณะเป็นแชมเปี้ยนจะต้องมี 11 ตัวจริงที่ดีที่สุดไว้ใช้งานในเกมแต่ละนัด ที่ผ่านมาทดลองมาเยอะแล้ว ถึงเวลาพาสิงห์บลูส์กลับสู่เส้นทางที่ควรจะเป็น มิเช่นนั้นอะไรๆอาจจะสาย ไม่ใช่สำหรับทีมนะ แต่สำหรับตัวกุนซืออย่างซูเปอร์แฟรงค์เองนั่นแหละ

 

เกาะติดวงการลูกหนังไทยและต่างประเทศ

Line @kickoff69 ได้ที่นี่