ของจริง! ชายที่ชื่อว่า บิเอลซ่าผู้พายูงทอง ลีดส์ กลับมาบินในพรีเมียร์ลีค อีกครั้ง

ภายหลังจาก ที่ “ยูงทอง” ลีดส์ ยูไนเต็ดโชว์ฟอร์มสุดเร้าใจเอาชนะ เซาท์แฮมตันไป 3-0 เป็นการตอกย้ำ ให้เห็นถึงความ สุดยอดในการทำทีม ของ บิเอลซ่า ทีมของ เขานั้น ถูกเรียกสไตล์ การเล่นว่า

Murderballหรือ ให้แปลเป็นภาษาไทยว่า “เล่นให้ตายกันไปข้าง” ทัศนคติ ของทีมพวกเขานั้น เห็นได้จากการเล่นอย่างชัดเจนว่า ไม่ว่าจะเจอทีมไหนหรือ เมื่อไร พวกเค้า พร้อมที่จะบุกแลก ทั้งนั้น

โดย บิเอลซ่า นั้นถูกเรียกว่า พวกบ้าฟุตบอล เข้าเส้น เขาใช้เวลาวันหยุด วิเคราะห์ คู่แข่งถึง 14 ชั่วโมง และแจกแจก แผนการแก้เกมให้กับ ลูกทีมของเขา ถึง 100 กว่ารูปแบบ บิเอลซ่า นั้นบอกเสมอ ว่าตัว

ของเขาเอง ไม่จำเป็นต้องใช้ นักเตะระดับโลก แต่เขาต้องการนักเตะที่สามารถเล่น ตามแทคติค ของเขาได้ และมีความฟิตมากพอ ที่จะวิ่งได้ทั้งเกม

จากคำบอกเล่าของ “ลี คูเปอร์” นักเตะของลีดส์ ยูไนเต็ด เคยเล่าไว้ว่า

“ถ้าถามว่า การซ้อมของ บิเอลซ่า โหดขนาดไหน ผมคงต้องบอกว่า เป็นการฝึกที่ เหนื่อยที่สุดในชีวิตของผมแล้ว”

และด้วยการฝึกซ้อม และ แผนการทำทีมของ บิเอลซ่า นี้เอง ที่ทำให้

ลีดส์ สามารถ เลื่อนชั่นขึ้นสู่ พรีเมียร์ลีคได้ แบบไร้ข้อกังขา และเมื่อขึ้นมา

ยังลีคสูงสุดในแดนผู้ดี พวกเขาก็ยังคงเล่นเหมือนเดิมไม่มีเปลี่ยนแปลง ถึงแม้จะ เจอกับบรรดา ทีมยักษ์ใหญ่ เช่น แมนยู เชลซี อาร์เซนอล ลิเวอร์พูล หรือแม้แต่ แมนซิตี้ พวกเขาก็ยังคงเดินหน้า ไล่บี้ และ

บุกใส่อย่างไม่เกรงกลัว และนั่นเองทำให้ทีมลีดส์ ยูไนเต็ด เป็น1ในทีมที่เล่นได้ “สนุก”ที่สุดทีมนึงในลีค ปัจจุบัน นี้ มีผู้ที่หลงไหลในฟุตบอลคอยติดตามและ เอาใจช่วย ทีมยูงทอง ลีดส์ ยูไนเต็ด อยู่รอดปลอดภัย และโชว์ ฟอร์มในสังเวียนลูกหนัง แดนผู้ดี อยู่อย่างมากมาย

เกาะติดวงการลูกหนังไทยและต่างประเทศ

Line @kickoff ได้ที่นี่

ขวาตาย ซ้ายสลบ ! กรีนวู้ดรับเป็นเรื่องยากหากถามว่าถนัดเท้าไหน ?

ในโลกของฟุตบอลนั้น นักฟุตบอล ส่วนใหญ่ ต่างต้องพยายามใช้จุดแข็ง ของตัวเอง เล่นงานทีมคู่ต่อสู้กันทั้งนั้น ทำให้ เกิดการ ฝึกฝนจนพัฒนาเป็น

“อาวุธ” ประจำตัวกันทั้งนั้น หากย้อนไป เมื่อครั้งอดีต อาร์เยน รอบเบน เคย แสดงให้เห็นมาแล้ว ด้วยการตัดเข้าใน เพื่อปั่นโค้งเข้าเสาไกล เช่นเดียวกับ คริสเตียโน โรนัลโด้ที่สามารถทำประตู จากลูกกลาง

อากาศได้อย่างมากมาย ด้วยพลังการกระโดด ลอยตัว จนดูเหมือนกับบินได้ของเขา หรือจะเป็น เทพเจ้าลูกนิ่ง อย่าง เดวิด เบ็คแฮม มิดฟิลด์ เท้าชั่งทองอดีตตำนานชื่อดัง

ของปีศาจแดง แมนเชสเตอร์ยูไนเต็ด ที่มีเทคนิคการยิงฟรีคิกไม่เหมือนใคร ซึ่งที่ยกตัวอย่างมาทั้งหมดนี้นั้น บรรดาคู่แข่งของพวกเขาต่างรู้ว่าพวกเขา

จะใช้มัน แต่ก็ไม่สามารถ ป้องกันได้สิ่งเหล่านั้นคือที่มาของคำว่า “ระดับโลก”

เช่นเดียวกัน กับ ผู้เล่นเหล่านั้น สิ่งที่ เมสัน กรีนวู้ด กำลังแสดงให้เห็น

กับ แมนเชสเตอร์ยูไนเต็ด แม้จะห่างไกล จากคำว่าระดับโลก แต่ก็ต้องยอมรับว่า สมควรแล้ว ที่จะเรียกว่า “พิเศษ” และมีโอกาสก้าวไป ถึง ระดับโลกอย่างแน่นอน

ควินตัน ฟอร์จูน อดีตโค้ชทีมชุด ยู23 ของปีศาจแดง เคยให้สัมภาษณ์ไว้ว่า

“ผมเคยคิดว่า เขาถนัดเท้าซ้าย แต่ที่ไหนได้ พอได้จุดโทษ เขากลับใช้เท้าขวา ยิงซะอย่างนั้น “

โอเล กุนนาร์ โซลชา ก็ได้กล่าวถึงเขาไว้ว่า

“เขาทำอย่างกับเป็นเรื่องปกติ ไม่ว่าจะใช้เท้าข้างไหนยิงฟรีคิก หรือแม้แต่เตะมุม ก็ตาม”

มาร์ก ซีเนียร์ โค้ช ของเยาวชนปีศาจแดง เคยพูดไว้ว่า กรีน วู้ดนั้น

มี พรสวรรค์การใช้ เท้า2 ข้างตั้งแต่ก่อนมาฝึกที่สโมสร แล้วด้วยซ้ำ

“สมัยที่ เมสัน เข้าทีมมาตั้งแต่วัย เพียง6ขวบ เขาก็สามารถเล่นได้ 2เท้าแต่แรก แล้ว แถมยัง มีลูกยิงที่รุนแรงกว่า เด็กรุ่นอายุ 13ปี ซะอีก”

ดังนั้นแล้ว จะเห็นชัดเลยว่า การเล่น 2 เท้าของ เมสัน กรีนวู้ด นั้น

ไม่ใช่ การฝึกฝน แต่ มันคือ “พรสววรค์” ที่ในอนาคตนี้ บรรดาแฟนๆ

ผีแดง คงคอยเอาใจช่วยกับ การพัฒนาของเขาในการก้าวไปสู่ระดับโลก อย่างแน่นอน

เกาะติดวงการลูกหนังไทยและต่างประเทศ

Line @kickoff ได้ที่นี่

ยังสำคัญอยู่ไหม ? Pogba กับอนาคตที่ยังเป็นคำถามของแฟนผีแดง

มิดฟิลด์ ดีกรี แชมป์ โลก ชาวฝรั่งเศษนั้น ถือ เป็น 1 ในกองกลาง ที่ดีที่สุด

แห่งยุค แน่นอน ถ้าวัดจาก นักเตะในรุ่นเดียวกัน จะต้องมีชื่อของเขา โผล่ติดลิสต์ แน่ ด้วย ผลงานรางวัลการันตี ทั้งส่วนตัว หรือ กับทีมชาติ

แต่ด้วยการ กลับมาในฐานะกุนซือ ของ โอเล่ กุนนาร์ โซลชาร์ ที่เปลี่ยน แผนการเล่นของ แมนยู ให้กลายเป็นระบบ 4-2-3-1 เน้น บอลสวนกลับ

และการเคลื่อนที่ของนักเตะ ที่ต้องรวดเร็ว คิดเร็ว ทำเร็ว เพื่อ สอดคล้อง กับการเล่น แบบไดเรค น้อยจังหวะ เพื่อส่งถ่ายบอล ขึ้นแดนหน้า ทำให้

บทบาทของ ป๊อกบา กับแมนยู ยังคงเป็นคำถามถึงทุกวันนี้ หลังจากที่มี สโมสร ยักษ์ใหญ่ อย่างรีลมาดริด คอยตามจีบอยู่ ซึ่งตัวเขานั้น เป็นมิดฟิลด์ สไตล์ ชอบ เก็บบอลไว้กับตัว และ เล่นบอล หลายจังหวะ

ถึงแม้การมีเขา ลงสนามจะทำให้ ผีแดง มี อาวุธเพิ่มขึ้น จากการ วางบอลที่แม่น ยำ บวกกับ การยิงแถวสอง ของเขาก็ตาม ก็เทียบไม่ได้กับ ในเกมสำคัญ

ที่เขามักจะเก็บบอลไว้ และพลาดท่าเสียบอลในพื้นที่อันตราย จนโดนทำประตู อยู่ร่ำไป ดังนั้น แล้วเชื่อว่า บรรดาแฟนๆ ทีมปีศาจแดง

คงต่าง อยากรู้อนาคต ของเขากันทั้งนั้น ว่าถ้าเขาตัดสินใจอยู่ต่อ เขาพร้อม

ที่จะปรับตัวกับบทบาทที่ได้รับ หรือไม่ หรือควรจะขายเขาออกไป หากได้ราคาที่สูง เพราะ กุนซือ อย่าง โซลชาร์ นั้น ในตลาด การซื้อขาย

ก็เห็นๆกันแล้วว่าเขา”ดี”พอและสายตาค่อนข้างเฉียบคมในการเลือกนักเตะ

ดังนั้นแล้ว การ ตัดสินใจของเขาใน อนาคตอันใกล้นี้ จะเป็นตัวชี้ชัดทิศทางของ ทีมปีศาจแดงอย่างแน่นอน

เกาะติดวงการลูกหนังไทยและต่างประเทศ

Line @kickoff ได้ที่นี่

ทำไม ? ฟานไดค์ ถึงสำคัญกับ หงส์แดงในยุคของ ” คล็อป “

ก่อนอื่น ต้อง ขอยอมรับก่อนว่า ฟุตบอลในยุค ปัจจุบันนี้ ถ้าถาม ใครคือกองหลัง ที่เก่งที่สุดในโลก คงต้องมี ชื่อ ของ” ฟานไดค์ ” อยู่อย่างแน่นอน ซึ่งเป็นเรื่องโชคร้ายอย่างที่สุด ที่ ทีมหงส์แดงต้องมาเสีย

เขาไป ตั้งแต่พึ่งเริ่มฤดูกาลอย่างรวดเร็ว จากการปะทะ กับ จอร์แดน พิคฟอร์ด ในนัดที่ ลิเวอร์พูล เจอกับ เอฟเวอตัน และนับตั้งแต่

ที่เขาบาดเจ็บยาวไปนั้น ทีมหงส์แดง ลิเวอร์พูลก็ไม่สามารถที่จะขยับแต้ม ขึ้นมา อยู่ในกลุ่มไล่ล่าแชมป์ ในฤดูกาลนี้ได้เลย

เพราะ ตัวเขานั้น มีพร้อม ทั้งความแข็งแกร่ง ความเร็ว ลูกกลางอากาศ และ เซนส์ การจ่ายบอลที่ดี รวมถึงการ อ่านจังหวะกระแสของเกม และนี่คือสาเหตุ ที่ หงส์แดง ลิเวอร์พูล

ในยุคของ เจอเก้น คล็อป จะขาดเขาในทีมไปไม่ได้

1. การมีอยู่ของเขา ทำให้แผงหลัง กล้าที่จะดันขึ้นสูง เพราะ ขอบเขตการป้องกัน ที่กว้างของเขา ต่อให้โดนเล่นเกมสวนกลับ ก็สามารถที่จะ วิ่งกลับมาป้องกันได้ทัน

2. การวางบอลจากแนวลึกให้ ปีกสองข้าง ทำเกมรุก ฟานไดจ์ นั้น มีการเปอร์เซนต์ การวางบอลที่แม่นยำ มากถ้าเทียบกับกองหลัง คนอื่นๆ ดังนั้น

จะเห็นได้อยุ่บ่อยครั้ง ที่ลิเวอร์พูล จะขึ้นเกมจากเขา

3. คอยซ็อน ฟูลแบ๊ค สองข้าง ทำให้ ฟูลแบ๊ค อย่าง อเล็กซานเดอร์ อาร์โนล และ โรเบิร์ตสัน สามารถทำหน้าที่ ตัวเองได้ เพราะต่อให้ คู่แข่งใช้

ผู้เล่นปีกความเร็วสูงเจาะ ทางฟูลแบ๊ค ที่เติมเกมรุก วานไดจ์ ก็สามารถที่จะ 1-1 หยุดพวกเขาได้

4. คอยป้อง กันลูกกลางอากาศให้กับทีม และทำประตู จากลูกเตะมุม จะเห็นได้ชัดๆ เลยว่า ปัจจุบันนี้จากการบาดเจ็บ ของเขา ทุกทีมที่เจอ กับ หงส์แดงตอนนี้ ต่างพากัน ใช้ลูกกลางอากาศโจมตี เขาแทบจะ

ทุกทีมที่เจอ และ จากการบาดเจ็บของเขา ก็ทำให้หงส์แดง ณ ตอนนี้ไม่เหมือนทีม แชมป์เก่า อีกต่อไป เชื่อว่า แฟนหงส์แดงทุกคน คงคิดถึง วันที่ เขา กลับมา ร่วม ไล่ล่าแชมป์ มาให้แฟนๆได้เชยชมอย่าง

แน่นอน

เกาะติดวงการลูกหนังไทยและต่างประเทศ

Line @kickoff ได้ที่นี่

ถึงเวลาแล้วหรือยัง?”คาวานี่” สมควรออกสตาร์ทตัวจริงกับปีศาจแดง

ตั้งแต่ที่ กุนซือ หน้ายิ้ม โอเล่ กุนนาร์ โซลชา เข้ามารับตำแหน่งคุม ทัพผีแดงที่ โอลแทรฟฟอร์ด ตัวเขาได้ พยายาม ดันบรรดาเด็กดาวรุ่งให้ได้ลง สนามกันอย่างมากมาย และต่อเนื่อง แต่จาก ผลการแข่งขัน

ที่ผ่านมา เราจะเห็นได้อย่างชัดเจนเลยว่าพลพรรค ปีศาจแดง ขาด ความเด็ดขาด ในการจบสกอร์ อย่างชัดเจน หรือ พูดง่ายๆ ว่าแนวรุกของ พวกเขานั้น เป็นกองหน้า กึ่งปีกแทบจะทั้งนั้นพวกเขา พยายาม

จะดัน อองโธนี่ มากสิยาล ขึ้นมาเป็นเป็นกองหน้าตัวเป้า แต่เราก็เห็นกันอย่างชัดเจน ว่า ตัวเขานั้น ไม่เหมาะ อย่างยิ่งกับตำแหน่งนี้ มากสิยาล นั้น มี พรสวรรค์สูง ครองบอล ไปกับบอลได้ดี มีทักษะที่น่าทึ่ง

แต่สิ่งนึง ที่เขาไม่มีเลย คือความกระหายในการทำประตูเพื่อพาทีม ชนะการแข่งขัน ดังนั้น จากเกมที่ผ่านๆมา จะเห็นได้เลยว่า เวลาที่ แมนยู ทำเกมรุกขึ้นมาใส่คู่ต่อสู้ ทั้ง มากสิยาล และ แรชฟอร์ด ต่างพากัน

ถ่างออกไปอยู่ ริมเส้น ทั้งหมด จนสุดท้าย ต้องเป็น บรูโน่ ที่วิ่งเข้าไปในกรอบเขตโทษ แทน แต่การมาของคาวานี่นั้น ได้เพิ่มมิติแนวรุก และที่สำคัญ คือเขา สร้างอิมแพคให้กับทีม อย่างมาก

คาวานี่ ที่แม้จะอายุ เลข3 แล้ว แต่ความฟิตของร่างกายนั้น ไม่ต่างกับ คนที่อายุพึ่งจะ 20กลางๆเลยทีเดียว เขาวิ่งไปทั่ว คอยเชื่อมบอลกับเพื่อน และ พร้อมที่จะกระโจนเข้าไปในกรอบเขตโทษ ยามที่ทีมมี

โอกาสทำประตูอยู่เสมอ เขามีความกระหายที่จะเป็นผู้ชนะ และนั่น เองที่ส่งผลต่อผลงาน

การทำประตู ของแมนเชสเตอร์ยูไนเต็ด ที่เพิ่มขึ้นอย่างชัดเจน ในระบบ  4-2-3-1 ของโซลชาร์ แม้ว่า เขาจะไม่มีความเร็ว ความคล่องตัวเหมือน  มากสิยาล หรือแรชฟอร์ด แต่เขามีความ เฉียบขาด ในการทำ

ประตู ที่ชัดเจน กว่า2คนนั้น ซึ่งเป็นสิ่งที่จับต้องได้ และนำมาซึ่งชัยชนะของทีม

คงถึงเวลา แล้ว ที่ โซลชาร์ ต้องเลิกคิดถึงอนาคต และ ทำ”ปัจจุบัน” ให้ดีก่อน ดังนั้น คาวานี่ คือคำตอบที่ดีที่สุด สำหรับกองหน้า ตัวเป้าของพลพรรคปีศาจแดง ในเวลานี้

เกาะติดวงการลูกหนังไทยและต่างประเทศ

Line @kickoff ได้ที่นี่

จาก อารซาร์ ในวันนั้น ….

ถ้ามองย้อนกลับไป สัก 3-4 ปีที่แล้ว ถ้าถามว่า ใครกัน ที่จะมาแทนที่ 2 ซุปเปอร์สตาร์ ของวงการฟุตบอล อย่าง “เมซซี่่” และ “โรนัลโด้”

เชื่อว่า เพลเมกเกอร์ ชาวเบลเยี่ยม ต้อง มีชื่ออยู่ในนั้น อย่างแน่นอน

สมัยที่ ยังค้าแข้ง ให้กับ เชลซี นั้น เขาได้รับการขนานนามว่า

“ฝันร้ายของกองหลัง” เลยทีเดียว เขามี ความเร็ว และ ทักษะการเลี้ยงบอลที่สุดยอด แถมยังสามารถ สอดขึ้นมาทำประตูได้

แต่ ณ ปัจจุบัน เอแดน อาซาร์ ที่เล่นให้กับ รีลมาริด และเชลซี นั้น

ต่างกันจนแทบจะเป็นคนละคน เขาขาดความมั่นใจ เล่นบอลช้า เลี้ยง 1-1

แทบจะไม่ผ่านใคร ไม่ต้องพูดถึง การทำประตู แค่ให้เขาเล่นได้เต็ม 90 นาที

ก็แทบจะเป็นไปไม่ได้แล้ว เวลาส่วนใหญ่ ของเขาหมดไปกับการคุยกับ หมอ และ พยาบาล ซะส่วนใหญ่ อะไรคือสาเหตุ ที่ทำให้เขากลายเป็นแบบนี้ ?

“ฟิลิเป้ หลุยส์” อดีตกองหลังเพื่อนร่วมทีมของเขาสมัยเล่นให้กับเชลซี

ได้ให้สัมภาษณ์ไว้ว่า

“อาซาร์ และ เนย์มาร์ คือนักเตะที่ดีที่สุด ที่ผมเคยร่วมเล่นด้วย ทั้ง2อยู่ในระดับเดียวกับ เมสซี่ และ โรนัลโด้”

“อาซาร์เขา เป็นนักเตะที่พรสวรรค์สูงมากๆ แต่ขาดวินัย ถ้าเพียงแต่ เขามีความทะเยอทะยานและพูด ว่า ‘ฉันอยากเป็นนักเตะที่เก่งที่สุดในโลก’ ผมจะเชื่อเลยว่า เขาต้องทำได้อย่างแน่นอน “

“อัซปิลิกวยต้า” กัปตันทีมสิงบลู ก็ได้ให้ความเห็นว่า

“ตอนอยู่ที่เชลซี เขาแทบจะลงสนามทุกนัดที่ทีมมีเตะ และแสดงคุณภาพออกมา”

“เขามีความสม่ำเสมอ มากๆเสียดายที่ตอนนี้กับ รีล เขาแทบจะไม่ได้ลงสนามเลย”

ในวันที่ ราชันชุดขาวเปิด อาซาร์ ด้วยค่าตัวสูงถึง 100 ล้านยูโร

เขามีน้ำหนักเกินจาก มาตรฐานไปถึง 7-8 กิโลกรัม สื่อหลายๆสำนักต่าง

ลงความเห็นว่า เขา “อ้วน” เกินไป

จากทุกประเด็น ที่หยิบยกมานั้น จะเห็นได้อย่างชัดเจนว่าตัวของ อาร์ซาร์ นั้น มีแทบทุกอย่าง ที่นักฟุตบอล ทุกคนล้วนอยากจะมีแต่สิ่งที่ ตัวเขา นั้น

ไม่สู้คนอื่นคือ ความเป็นมืออาชีพ และไม่รู้ว่า รีลมาดริด จะอดทนรอเขา

ได้อีกนานแค่ไหน เพราะมีข่าวหนาหู เรื่องการขาย เขา สมทบทุนนำเข้า

เอม บาปเป้ ถ้าเกิดขึ้นจริง สถานีต่อไปของตัวเขาจะเป็นที่ไหน ก็ขอให้ตัว

เขานั้น คิดได้ว่านักฟุตบอล มีแค่พรสวรรค์ นั้น ไม่พอ ในส่วนนั้น

คริสเตียโน โรนัลโด้ได้ แสดงให้คนทั้งโลกได้เห็นไปแล้ว ผมเชื่อว่า ทุกคนก็

คงเอาใจช่วยให้ เขากลับมาโชว์ฟอร์มสุดยอดอีกครั้ง เพื่อมอบความสุข

ให้กับทุกคนที่รัก ในกีฬาฟุตบอล ได้มีนักกีฬา ระดับนี้ ไว้ชม กันต่อไปอย่างแน่นอน

 

เกาะติดวงการลูกหนังไทยและต่างประเทศ

Line @kickoff69 ได้ที่นี่

น้อง “เป้” ขึ้นแท่น อนาคตของวงการฟุตบอล ที่จะมาแทนที่ โรนัลโด้ เมซซี่

ก่อน อื่นต้องยอมรับก่อนเลย ว่า ถ้านึกถึง ฟุตบอล ในรอบ เกือบ 20ปีที่ผ่านมา ไม่ว่าจะ เป็นใครก็ต้อง รู้จัก คริสเตียโน่ โรนัลโด้ และ ลีโอเนล เมซซี่ 2 โคตรแข้งที่เป็นปรากฎการณ์มาอย่าง ยาวนาน

ไม่ว่าย้าย ไปอยู่ทีมไหน ทั้งลีคเติบโตขึ้นเรื่อง ภาพลักษณ์ ธุรกิจฐาน คนดู แฟนๆ เพิ่มขึ้นอย่างแน่นอน ทำให้ไม่ว่าใครก็อยากได้ พวกเขา2คนไปร่วมทีม แต่กาลเวลา ผ่านไป พวกเขาทั้ง 2เริ่มโรยราไปตามอายุ

แต่วงการฟุตบอล ก็ยังไม่ อาจหาตัวแทนที่จะ แทนที่พวกเขา ทั้งสองคนได้เลย คนที่ดูจะใกล้เคียงที่สุด น่าจะเป็น เนย์มา ถ้าไม่ติดเรื่องที่ซุปเปอร์สตาร์ชาวแซมบ้าขาดวินัยนอกสนาม

การเล่นที่ห่างไกลคำว่า”ทีม”ทำให้ไม่ประสบความสำเร็จสักเท่าไร แต่ถ้านับจากฝีเท้าล้วนๆ ป่านนี้คงจะมาแทน2คนนี้ไปนานแล้ว

ต่างกับ เอมบาปเป้ ที่ดูจะเต็มที่กับฟุตบอลตลอดทุกนัด ที่ลงแข่ง และ มีถ้วยรางวัลติดไม้ติดมือ การันตีความสำเร็จ มามากมาย

บรรดา กูรู หลายๆคนก็ออกมาชม กันอย่างหนาหู ถึงดาวรุ่งมากพรสวรรค์ คนนี้ อย่างมาก

โจ โคล “การเอาชนะตัวประกบ การเล่นกับเพื่อนร่วมทีม ความขยันตอนที่ไม่ได้ ครองบอล เขาสุดยอดในทุกแง่มุม ปัจจุบันนี้ เขาเป็น 1 ในตัวชูโรง ของวงการฟุตบอลไปแล้ว”

เจมี่ คาราเกอร์ “ผมไม่ได้พูดเล่นนะ เขาเคยเกือบได้ย้ายมา อยู่กับลิเวอร์พูล แล้วสมัยยังค้าแข้งให้กับ โมนาโก”

“ถ้าจะนับทีมในพรีเมียร์ลีค ที่เหมาะสมกับเขาในเวลา นี้ เห็นจะมีแค่ ลิเวอร์พูล และ แมนเชสเตอร์ซิตี้เท่านั้น”

มีรายงานจากทางฝรั่งเศสว่า ปารีส แซงต์-แชร์กแมง ได้ยื่นสัญญาใหม่ให้กับ คิลิยัน เอ็มบัปเป้หัวหอกมหากาฬเป็นเวลา4ปีนักเตะได้พิจารณาข้อเสนอดังกล่าวมาหลายเดือนแล้วแต่ยังไม่ตอบรับแต่อย่างใด

ซึ่งแข้งวัย 22 ปีกำลังถูกถามถึงเรื่องอนาคต กันอย่างต่อเนื่องเพราะตัวเขาเหลือสัญยาอยู่ถึงปี 2022 เท่านั้น

บรรดาทีมยักษ์ใหญ่ได้ เช่น แมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ด แมนซิตี้ ลิเวอร์พูล และ รีลมาดริด ต่างอยากได้ตัวเขาไปร่วมทีมกันหมด

เชื่อได้เลยว่า การย้ายทีมของ เขาจะเป็นข่าวใหญ่ในวงการฟุตบอลอย่างแน่นอน

 

เกาะติดวงการลูกหนังไทยและต่างประเทศ

Line @kickoff69 ได้ที่นี่

ในวันที่ “ผีเข้า” ใครก็หยุดไม่อยู่

Manchester united โชว์ฟอร์ม สุดหรูถล่มโซเซียดาด 4-0 ในเกม ยูโรป้าลีค เมื่อคืนวันพฤหัสบดีที่ผ่านมา ทำให้คาดว่าน่าจะเป็นหนึ่งในตัวเต็ง ทีมที่จะคว้าแชมป์รายการนี้

ถ้าพูดถึง ผลงานการเล่นในฤดูการนี้ ของ พวกพลพรรคปีศาจแดง แล้วถือว่า ดีขึ้นกว่าฤดูการก่อนๆ อย่างชัดเจน

พวกเขามีแนวทาง การเล่นที่ดูเป็นตัวของตัวเอง มากขึ้น และสามารถทำประตูได้จาก โอเพ่น เพลย์ อยู่หลายครั้งต่าง กับฤดูกาลที่ผ่าน ที่ดูเหมือนจะฟลุ๊คไปซะหมด

ต้องบอกว่า การเข้ามาของ บรูโน่ เฟอร์นันเดซ ได้สร้าง อิมแพค จนเปลี่ยน แมนยูจากหน้ามือ เป็นหลังมือไปเลยทีเดียว

โอเล่ กุนนาร์ โซลชาร์ ตามหา จิ๊กซอ ที่จะเติมเต็มแมนยู มาอย่างยาวนาน ในตำแหน่ง เบอร์ 10 ของทีม และหวยก็มาลง ที่ เขา การมาของเขา เพิ่มมิติ ในการเล่นเกมรุก ของแมนยู อย่างมาก

เขามีทั้งบอล สั้น และยาว ที่อันตราย แถมยังเอาตัวรอดเก่ง และ ในจังหวะที่ทีม ตันๆ เขายังสามารถสอดขึ้นไป ทำประตูได้อีกด้วย

มาร์คัส แรชฟอร์ด ก็มีพัฒนาการที่ดีขึ้น ผู้เล่นอย่าง กรีน วูด ก็เล่นดูดี มีอนาคตอย่างมาก กระทั่ง แดเนียล เจมส์ ที่ไม่ค่อยได้ลง พอได้รับโอกาส ก็ยังสามารถทำผลงานได้

ถ้ามองไปที่ ขุมกำลังของ แมนยู ณ เวลานี้แล้ว ต้องบอกว่า ไปเทียบกับทีม ใหญ่ทีมอื่นชื่อชั้น คงเป็นรอง อย่างมาก แต่ด้วยอายุ การใช้งาน ของนักเตะในทีม และ ฟอร์มการเล่นของ บรรดาดาวรุ่งต่างๆ

ของพวกเขาแล้ว ก็ถือว่า โอเล่ กุนนาร์ โซลชาร์ น่าติดตาม อนาคตเป็นอย่างยิ่ง ว่าจะไปในทิศทางไหน

 

เกาะติดวงการลูกหนังไทยและต่างประเทศ

Line @kickoff69 ได้ที่นี่

ช่วงเวลาฮันนีมูนของ ทูเคิ่ล ! อาจไม่ได้ยาวนานอย่างที่คาดหวังกันไว้ก็ได้

ไล่ดู 5 เกมที่เชลซีเดินหน้าคว้าชัยชนะได้ล่าสุด ต้องยอมรับว่ามีหนักนัดเดียวแค่การบุกไปเฆี่ยนท็อตแน่ม ฮ็อทสเปอร์ 1-0

ที่เหลือล้วนเจอคู่แข่งที่ห่างชั้นกว่า ไม่ว่าชนะเบิร์นลี่ย์ , เชฟฟิลด์ ยูไนเต็ดหรือนิวคาสเซิ่ล รวมถึงเกมเอฟเอคัพกับบาร์นสลี่ย์ด้วย

อีกทั้งเกมประเดิมเสมอวูล์ฟส์ก็น่าจะเป็นฝ่ายชนะมากกว่า ทั้งเรื่องศักยภาพผู้เล่นและได้เปรียบเล่นในบ้าน

ขณะเดียวกันสเปอร์สก็อยู่ในช่วงขาลง เกมดังกล่าวไม่มี แฮร์รี่ เคน กองหน้าตัวหลักที่บาดเจ็บอีกด้วย

พูดให้ง่ายเข้าไว้ก็คงประมาณว่า ทูเคิ่ล ยังไม่เจอกับแบบทดสอบของจริง ที่ผ่านมาเหมือนออร์เดิร์ฟเรียกน้ำย่อยมากกว่า

สิ่งที่ต้องตามดูกันก็คือเขาจะทำให้ทีมสปิริตและบรรยากาศในห้องแต่งตัวดีกว่าที่เคยหรือไม่ ตอนนี้หลายอย่างอาจดูดีไม่มีอะไรน่าวิตก แต่แรงกระเพื่อมต่างๆจะตามมาอย่างแน่นอน

นักเตะหลายคนที่ต้องตกเป็นสำรอง ย่อมไม่พอใจกับสถานะของตัวเอง ไม่ว่าจะเป็น เบน ชิเวลล์ , ฮาคิม ซีเย็ค , รีซ เจมส์ หรือ เคิร์ต ซูม่า แล้วคงมีปฏิกิริยาตอบโต้บางอย่าง

อีกทั้งปูมหลังของ ทูเคิ่ล สมัยกุมบังเหียนปารีส แซงต์ แชร์กแมงก็เจอวิจารณ์ว่าคุมพวกแข้งซูเปอร์สตาร์ให้อยู่ในแถวไม่ได้ สุดท้ายบอร์ดก็ต้องไปดึง เลโอนาร์โด้ มาช่วยจัดการ

ว่ากันว่าจากนี้ ทูเคิ่ล จะเจอแบบทดสอบของจริง เชลซีจะไปเยือนเซาธ์แฮมป์ตันเกมลีก ตามด้วยบุกแอตเลติโก้ มาดริดศึกยูฟ่า แชมเปี้ยนส์ ลีก หลังจากนั้นกลับมาเล่นในรัง 2 เกมลีกรับแมนฯยูไนเต็ดและเอฟเวอร์ตัน ถัดมาบุกถิ่นลีดส์ ยูไนเต็ด ก่อนจะกลับมาโม่ตราหมีในเลกสอง

บางทีช่วงเวลาฮันนีมูนของ ทูเคิ่ล อาจไม่ได้ยาวนานอย่างที่คาดหวังกันไว้ก็ได้

เกาะติดวงการลูกหนังไทยและต่างประเทศ

Line @kickoff69 ได้ที่นี่

วัดจากปัจจัยแวดล้อมต่างๆ ! เชื่อว่า เอ็มบั๊ปเป้ น่าจะตัดสินใจอยู่ต่อ

ถ้าฤดูร้อนนี้ผ่านไป โดยที่ยังไม่มีการขยายสัญญาฉบับใหม่ คิลิยัน เอ็มบั๊ปเป้ ออกไปอีก ปารีส แซงต์ แชร์กแมงย่อมเจอปัญหาหนักใจมากตามลำดับแน่นอน

แล้วหากปล่อยไว้จนถึงปฏิทินเปลี่ยนปีเป็น 2022 ความลำบากจะยากทวีคูณอย่างไม่ต้องสงสัย

เปแอสเชอาจจะสบายใจได้บ้างตรงที่ หลายสโมสรใหญ่ที่ตามจีบ เอ็มบั๊ปเป้ ย่อมประสบปัญหาการเงิน ซึ่งไม่ได้มีงบประมาณมากเหมือนเมื่อก่อน

เหตุผลนี้อาจโน้มน้าวให้นักเตะตัดสินใจอยู่ต่อ เพราะยังไงก็ได้ค่าจ้างมากกว่าของเก่าแน่นอน อีกทั้งไม่มีทีมไหนศักยภาพพอพร้อมจะมาสู่ขอ

เรอัล มาดริดซึ่งเป็นเต็งหนึ่งที่จะได้ตัว ก็ต้องเผชิญกับวิกฤตการเงินครั้งใหญ่ ต่อให้ผลประกอบการไม่ถึงขั้นกระเป๋าฉีกและหนี้สินไม่ได้พะรุงพะรังเหมือนบาร์เซโลน่า แต่ก็ต้องอยู่ในภาวะรัดเข็มขัดจนพุงกิ่ว

ฉะนั้นหากจะหอบเงินฟ่อนใหญ่มาซื้อจริงๆ คงต้องผ่องถ่ายขายผู้เล่นที่มีอยู่ออกไป ซึ่งก็ไม่ใช่เรื่องง่ายอยู่ดี

ไหนจะขนาดขุมกำลังที่ดูเล็กลงอีก ไม่ใหญ่โตพอที่จะปล่อยนักเตะเหมือนอย่างที่เคย ความฝันของ ซีเนดีน ซีดาน จึงเกิดขึ้นยากพอสมควร

ยกเว้นเคสนักเตะดึงดันจะย้ายและไม่ขยายสัญญา ปล่อยให้หมดลงเอง เป็นการบีบให้เปแอสเชต้องยอมรับสภาพขยับไปทางไหนก็ลำบาก

ในขณะที่ลิเวอร์พูลเองก็โยงกับ เอ็มบั๊ปเป้ อย่างต่อเนื่องเช่นกัน แต่อุปสรรคก็ไม่แตกต่างจากมาดริดเท่าไรนัก แล้วบอร์ดบริหารก็ไม่ได้นิยมซื้อแข้งซูเปอร์สตาร์ แม้จะรู้ว่านี่คือของจริงและ เจอร์เก้น คล็อปป์ เชื่อว่าเป็นจิ๊กซอว์ชิ้นสำคัญต่อยอดความสำเร็จ

พูดง่ายๆคือทั้งสองทีมที่พัวพันมาตลอด ไม่ได้อยู่ในสภาพที่พร้อมเลย อย่าลืมว่าหากคิดจะคว้าในซัมเมอร์นี้ ไม่ใช่ต้องทุ่มค่าตัวอย่างเดียว ไหนจะต้องเจียดมาจ่ายค่าเหนื่อยมหาศาลด้วย

เอ็มบั๊ปเป้ เป็นเด็กที่โตมาจากสถาบันครอบครัวแข็งแรง จึงผูกพันกับคนในบ้านอย่างยิ่ง การย้ายทีมย่อมกลั่นกรองด้วยความรอบคอบมากๆ

ยิ่งมาเกิดสถานการณ์ไม่ปกติไวรัสระบาดอย่างหนัก ความเสี่ยงของการเดินทาง เปลี่ยนแปลงที่อยู่ จึงไม่ใช่สิ่งที่สะดวกนัก

เมื่อเป็นอย่างนี้เปอร์เซนต์ที่นักเตะจะยืดสัญญาออกไปจึงมีสูง ตัวแปรหลักเลยอยู่ที่เปแอสเชว่าจะหาวิธีดึงดูดใจอย่างไร

หากไม่ย้ายในเที่ยวนี้ บางทีในเงื่อนไขสัญญาฉบับใหม่อาจเพิ่มรายละเอียดบางอย่างลงไป เพื่อเปิดทางสำหรับการย้ายในอนาคต

ว่ากันตามตรงอายุเพิ่ง 22 ปี ไม่จำเป็นต้องเร่งร้อนไปเลย เล่นในลีกเอิงโกยเงินและความสำเร็จอีกสัก 3 ปีค่อยขยับปรับเปลี่ยนยังทันเหลือเฟือ

ไม่แน่เหมือนกันความท้าทายใหม่ของเขา นอกจากได้เล่นร่วมกับ เนย์มาร์ เหมือนเดิมแล้ว ยังอาจมี ลิโอเนล เมสซี่ มาอีกคน

แค่คิดก็ให้รู้สึกตื่นเต้นแทนแล้ว

 

เกาะติดวงการลูกหนังไทยและต่างประเทศ

Line @kickoff69 ได้ที่นี่