หากย้อนกลับไปเมื่อซีซั่นที่แล้ว เทียบในช่วงเวลาเดียวกัน ติโม แวร์เนอร์ซัดไปแล้ว 20 ประตูให้กับแอร์เบ ไลป์ซิก ในบุนเดสลีก้า ถัดมาอีก 1 ปี เขากลับยิงให้เชลซีในลีกได้เพียงแค่ 4 ประตูเท่านั้น ห่างกันถึง 16 !
แน่นอนว่าปัจจัยในเรื่องของสภาพแวดล้อมต้องเข้ามามีส่วน ไม่ว่าจะเป็นการที่แข้งวัย 24 ปี ออกมาหาความท้าทายในต่างแดนครั้งแรก หรือลีกฟุตบอลอาชีพที่มีความเข้มข้นขึ้นหลายเท่า แต่ถึงกระนั้นแล้ว ยังไงแลมพาร์ดก็ต้องคาดหวังผลผลิตจากดาวเตะเจ้าของค่าตัว 57.6 ล้านปอนด์มากกว่าที่เป็นอยู่แน่นอน
แต่จะว่าไป ก็ไม่ใช่ว่าแวร์เนอร์จะไม่เคยแสดงพิษสงค์ออกมาให้สาวกเดอะ บลูส์เห็นเลยสักหน่อย หากจำกันได้ 2 ประตูกับอีก 1 แอสซิสต์ในเกมพรีเมียร์ลีกนัดที่ 5 กับเซาแธมป์ตัน ดูเหมือนจะกลายเป็นจุดเปลี่ยนของเชลซีที่ตอนแรกออกสตาร์ทซีซั่นมาแบบกระท่อนกระแท่น
แวร์เนอร์ต่อยอดความน่าตื่นเต้นในตัวเขาด้วยการซัดเพิ่มอีก 2 ประตูในช่วง 3 เกมถัดมา ทุกอย่างในตอนนั้นทำท่าเหมือนจะออกมาสดใส แต่เปล่าเลย… หัวหอกจากแดนไส้กรอกกลายเป็นกองหน้าที่ไร้ความมั่นใจ ตีนบอดยาวนับตั้งแต่ส่งบอลผ่านมือ อารอน แรมส์เดล เมื่อ 11 เกมที่แล้ว
ทุกอย่างมันช็อตไปดื้อๆ เขาเป็นอะไรไป? นี่คือนักเตะคนดังคนเดิมกับที่ตะบัน 95 ประตู ใน 159 เกมให้ไลป์ซิก มันเป็นเรื่องของจังหวะฟอร์มตก , ความลำบากในการปรับตัวกับชีวิตใหม่ในอังกฤษ , หรือเป็นข้อบกพร่องของเชลซีเองที่ละเลยบางอย่างไป
วันนี้เรามีข้อมูลที่น่าสนใจจาก ราล์ฟ ฮาเซนฮุทเทิล กุนซือนักบุญ ซึ่งเคยร่วมงานกับแวร์เนอร์เป็นเวลา 2 ซีซั่นที่ไลป์ซิก ที่ฟังแล้วก็ถือว่ามีเหตุผลพอตัวเลย
“ผมรู้จักติโมเป็นอย่างดี และผมเห็นมากับตาแล้วกับช่วงเวลาที่เขามีผลงานตกต่ำ” กุนซือชาวออสเตรียกล่าว
“บ่อยครั้งที่ผมเห็นเรื่องแบบนี้เกิดขึ้นกับตัวเขา มันก็มักจะมาจากระบบการเล่นที่ไม่สอดคล้องกับสไตล์ของติโม ทีมไม่ได้ใช้ระบบที่สามารถเอื้อให้เขาได้ดึงศักยภาพสูงสุดของตัวเองออกมาปรากฏในสนาม”
“เขาเป็นนักเตะประเภทที่ทีมจะต้องปรับระบบเข้าหาเขา และถ้าคุณทำเรื่องนี้ให้เขา
ได้ อะไรที่คุณต้องการจากผู้เล่นในตำแหน่งกองหน้า เขาจะจัดให้คุณได้หมด”
กับที่ไลป์ซิก มันชัดเจนอยู่แล้วว่าตัวอันตรายคือใคร ระบบมากมายถูกสับเปลี่ยนนำมาใช้ บางครั้งก็ถ่างเขาไปอยู่ปีกซ้ายบ้าง บางทีก็จับถอยลงมาเป็นตัวต่ำยืนหลังหอกตัวเป้าบ้าง หรือแม้แต่คอมโบกับยูสเซฟ โพลเซ่นในตำแหน่งหน้าคู่ก็ทำได้ ไม่ว่าจะเป็นเกมแบบไหน แต่ระบบที่มีให้เลือกใช้เหล่านี้ ต่างเป็นระบบที่เอื้อประโยชน์ต่อแวร์เนอร์ ในการสร้างความเสียหายให้คู่แข่งทั้งสิ้น
ยกตัวอย่างเกมที่โฆเซ่ มูรินโญ่พาไก่เดือยทองบุกเยือนไลป์ซิกในเกมแชมเปี้ยนส์ลีกรอบ 16 ทีมสุดท้ายเมื่อซีซั่นที่แล้ว หลังสร้างความได้เปรียบบุกเชือด 1-0 ในเลกแรกจากจุดโทษของแวร์เนอร์.. ยูเลี่ยน นาเกลส์มันน์ กุนซือหนุ่มของทีมปิ๊งไอเดีย จัดการโยกตำแหน่งแวร์เนอร์จากที่เล่นเป็นตัวกลางในนัดแรก ให้ไปอยู่ริมเส้นฝั่งซ้ายแทนในนัดที่สอง
เพราะเขารู้ดีว่ามูรินโญ่ไม่ได้เชื่อใจในแบ็คขวาสองตัวที่มีอยู่ ทั้งแซร์จ อูริเย่ร์ และ จาเฟ็ต แทงกังก้า พร้อมกับมั่นใจว่ากุนซือไก่เดือยทองจะต้องกำชับลูกทีมให้เปิดเกมบุกเต็มพิกัดเพื่อทวงอเวย์โกลคืนแน่นอน
ทุกอย่างเป็นไปตามอย่างที่นาเกลส์มันส์คาดการณ์ไว้ไม่มีผิด ติโม แวร์เนอร์ในตำแหน่งปีกซ้าย สร้างความปั่นป่วนให้แนวรับสเปอร์สจนเสียขบวน เขารอจังหวะโจมตีลูกทีมของมูรินโญ่ด้วยจังหวะสวนกลับเร็ว จบ 90 นาทีอัดสเปอร์สกลับบ้านไม่ถูกไป 3-0
ตัดภาพมาที่เชลซีตอนนี้ ยังไม่มีอะไรใกล้เคียงกับสภาพแวดล้อมเดิมของแวร์เนอร์เลยสักนิด นอกจากแลมพาร์ดจะยังหา 11 ตัวจริงที่ดีที่สุดของตัวเองไม่เจอแล้ว กุนซือหนุ่มยังมีปัญหาเรื่องการมอบหมายหน้าที่ให้นักเตะที่ถูกเลือกลงสนามอีกต่างหาก
แวร์เนอร์ถูกจับเล่นตรงกลางบ้าง ปีกซ้ายบ้าง ขนาดลองโยกไปอยู่ปีกขวาที่ไม่คุ้นเคยก็มีให้เห็นมาแล้วในเกมแชมเปี้ยนส์ลีกบุกเยือนคราสโนดาร์ ลองคิดตามแล้วนะก็ยังหาเหตุผลของแลมพาร์ดไม่เจอเหมือนกันว่าทำแบบนั้นทำไม?
ในขณะเดียวกัน เมื่อใดก็ตามที่แวร์เนอร์ต้องถูกฉีกออกไปอยู่ด้านข้าง โอลิวิเย่ร์ ชิรูด์และแทมมี่ อับราฮัม ก็ได้โอกาสสับเปลี่ยนกันมายืนตำแหน่งหน้าเป้าแทน ศูนย์หน้าจากแดนน้ำหอมออกสตาร์ทเกมพรีเมียร์ลีกในฐานะตัวค้ำหอกไปแล้วด้วยกัน 5 เกม ขณะที่อับราฮัมลงตัวจริงไป 8 เกม
นี่หมายความว่าแลมพาร์ดไม่ได้มีแผงแนวรุกที่ดีที่สุดในใจเลย เขายังลองนู้นลองนี้อยู่ ซึ่งแน่นอนว่าสิ่งที่ออกมาคือ เขาดึงศักยภาพของกองหน้าแต่ละคนที่มีอยู่ออกมาไม่ได้เลยแม้แต่คนเดียว โดยเฉพาะคนที่เพิ่งซื้อตัวเข้ามาใหม่เมื่อช่วงซัมเมอร์ ซึ่งผ่านการรับใช้สโมสรซึ่งมีเอกลักษณ์และรูปแบบการเล่นที่ชัดเจนกว่าที่เชลซีเป็นอยู่หลายขุม
ยอดทีมจากลอนดอนตะวันตกรั้งอันดับ 4 ในลิสต์ทีมที่มีค่าเฉลี่ยการครองบอลสูงสุดในพรีเมียร์ลีก ซึ่งเป็นสถิติที่ไลป์ซิกเองก็มีสูงเช่นกันในบุนเดสลีก้ากับตอนที่มีแวร์เนอร์อยู่
แต่ทว่าลูกทีมของแลมพาร์ดกลับรั้งอันดับที่ 14 ในพรีเมียร์ลีก หากแบ่งนับเพียงแค่การครองบอลในพื้นที่สุดท้ายของคู่แข่ง และอยู่ในอันดับ 7 สำหรับทีมที่ขึ้นไปเพรสซิ่งแดนบน
วิเคราะห์จากเกมที่ผ่านมาของเชลซี พอถึงจังหวะที่พวกเขาจะเปลี่ยนเกมจากรับเป็นรุก หรือทวงบอลคืนกลับมาในพื้นที่อันตราย ฟุตบอลของเชลซียังห่างไกลกับสิ่งที่แวร์เนอร์คุ้นเคยอีกเป็นมหาสมุทร ทีมที่เหมาะกับแวร์เนอร์ หากเทียบสถิติอย่างเป็นทางการของพรีเมียร์ลีก คือทีมอย่างแมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ด,ลิเวอร์พูล หรือ เซาแธมป์ตัน ที่จ้องจะเพรสซิ่งเพื่อแย่งบอลคืนจากแดนบน ดันเกมขึ้นโจมตีด้วยจังหวะบอลที่รวดเร็ว หรือทั้งสองอย่าง
ในขณะที่เชลซียังหาทางออกให้กับแวร์เนอร์ไม่เจอ กลับยังมีอีกหนึ่งสถิติที่อาจอธิบายเรื่องฟอร์มอันน่าผิดหวังของแวร์เนอร์ในซีซั่นนี้ได้ นอกจากพาทริค แบมฟอร์ด(12 ครั้ง),คริส วู๊ดและออลลี่ วัตส์กิน(10 ครั้ง) ติโม แวร์เนอร์เองก็เป็นอีกคนที่อยู่ในแถวหน้าของรายชื่อหัวหอกที่พลาดโอกาสทองในการทำประตูมากที่สุด ที่จำนวนถึง 9 ครั้งด้วยกัน
ซึ่งสำหรับหลายคนที่ติดตามผลงานของแวร์เนอร์ในบุนเดสลีก้ามาอย่างใกล้ชิด จะไม่แปลกใจกับสถิติที่ออกมาเลย แวร์เนอร์อาจจะถูกยกย่องมาต่างๆนาๆ แต่เขาไม่ใช่กองหน้าที่มีความนิ่งมาตั้งแต่ไหนแต่ไรอยู่แล้ว แต่จุดเด่นของเขาคือความขยัน การเคลื่อนที่และความเร็วที่มักเปลี่ยนโอกาสที่มีให้เป็นประตู
ตอนนี้สิ่งที่แวร์เนอร์จำเป็นต้องทำให้ได้คืออดทนและใจเย็นให้มากถึงมากที่สุด การกดดันตัวเองในตอนนี้จะไม่ช่วยอะไร และที่สำคัญที่สุด แลมพาร์ดจะต้องมีระบบการเล่่นที่แน่ชัดของตัวเองได้แล้ว ทีมที่มีลักษณะเป็นแชมเปี้ยนจะต้องมี 11 ตัวจริงที่ดีที่สุดไว้ใช้งานในเกมแต่ละนัด ที่ผ่านมาทดลองมาเยอะแล้ว ถึงเวลาพาสิงห์บลูส์กลับสู่เส้นทางที่ควรจะเป็น มิเช่นนั้นอะไรๆอาจจะสาย ไม่ใช่สำหรับทีมนะ แต่สำหรับตัวกุนซืออย่างซูเปอร์แฟรงค์เองนั่นแหละ
เกาะติดวงการลูกหนังไทยและต่างประเทศ
Line @kickoff69 ได้ที่นี่
