เอแดน อาซาร์ กับทางเดิน ที่เลือกไว้แล้ว

ไม่ผิดนักหากจะพูดว่า อาซาร์ คือตัวแทน คริสเตียโน่ โรนัลโด้ ซูเปอร์ฮีโร่คนเดิม ที่เผ่นไปยูเวนตุสแบบปุบปับตั้งแต่ปี 2018

ฟลอเรนติโน่ เปเรซ ประธานสโมสรมั่นใจในตัวปีกเบลเจี้ยนมากๆ ไม่ใช่แค่ฟอร์มจะเปรี้ยงปร้างเท่านั้น แต่ยังจะปั้นให้ขึ้นสู่ตำแหน่งดาวดวงใหม่ด้วย

อาซาร์ อาจมีลีลาคล้ายกับ โรนัลโด้ แต่ปัจจัยสำคัญอื่นๆผิดกันลิบลับ โดยเฉพาะเรื่องของวินัยและความเคร่งครัดในการดูแลตัวเอ

หลายครั้งที่เราได้เห็นเขาอยู่ในสภาพอ้วนฉุ ปล่อยน้ำหนักพุ่งพรวดเกินมาตรฐานนักเตะอาชีพ เหตุมาจากการกินแบบตามใจปาก

ไม่ใช่แค่อาหารเท่านั้นที่เลือกผิดหลักโภชนาการ แต่ยังนิยมดื่มอีกต่างหาก ต่อให้พรสวรรค์เหนือชั้นแค่ไหน ก็ยากที่จะไปได้สุดตามที่ตั้งเป้าเอาไว้

สมัยอยู่เชลซียังหนุ่มแน่น ร่างกายแข็งแรงไม่ค่อยบาดเจ็บให้มาต้องซ่อมแซมส่วนที่สึกหรอผุพังกันเท่าไรนัก

ล่าสุดสื่อสายมาดริดและแฟนบอลตั้งคำถามแล้ว ตกลงเกิดอะไรขึ้นกับ อาซาร์ กันแน่?

นับถึงตรงนี้ อาซาร์ สวมยูนิฟอร์มสีขาวของมาดริดครบ 18 เดือนแล้ว ลองไปเทียบตัวเลขต่างกับ เบล ในช่วงเวลาเดียวกันดู เผื่อจะฉายภาพต่างๆได้ชัดเจนมากยิ่งขึ้น

อาซาร์ ลงเล่นไปแล้ว 31 นัดทุกรายการ ทำไปได้เพียง 3 ประตูกับอีก 7 แอสซิสต์ จากจำนวน 1,964 นาที โดยที่คว้าแชมป์สแปนิช ซูเปอร์คัพกับลาลีกามาครอง ซึ่งไม่ได้มีส่วนร่วมเท่าไรเลย

ส่วน 18 เดือนของ เบล ลงสนามแบบเต็มเม็ดเต็มหน่วย พัฒนาฝีเท้าและพิสูจน์จนเป็นตัวหลัก โม่แข้งทั้งสิ้น 69 เกม ซัดไปถึง 34 ประตู 24 แอสซิสต์ใน 5,453 นาที

เขาครองแชมป์สแปนิช ซูเปอร์คัพ ยิงประตูสำคัญให้มาดริดผงาดยูฟ่า แชมเปี้ยนส์ ลีก อีกทั้งได้ยูโรเปี้ยน ซูเปอร์คัพอีกด้วย

ความจริงแล้วในช่วงปีครึ่ง อาซาร์ ควรจะรับใช้มาดริด 75 เกม ไม่ใช่เพิ่งลงเพียงแค่ 31 แถมถูกเปลี่ยนตัวออกหรือเป็นสำรองหลายนัดมาก

มาร์ซิน บุลก้า ผู้รักษาประตูชาวโปแลนด์ ซึ่งเคยเล่นในระดับเยาวชนให้เชลซีและเคยเห็นพฤติกรรมต่างของ อาซาร์ เล่าให้ฟังเป็นฉากๆเลยว่า

“เขาชอบจั๊งก์ฟู้ดอย่างแฮมเบอร์เกอร์หรือว่าพิซซ่ามากๆ นั่นคือความสุขของเขาเลยล่ะ เขาไม่แคร์อะไรนอกจากอาหารและฟุตบอล”

เรื่องนี้หากไปถาม อาซาร์ ไม่เคยเถียงเลย รวมทั้งยักไหล่ไม่ใส่ใจอีกต่างหาก เมื่อกลับมารายงานตัวแล้วน้ำหนักทะยานอย่างไม่สมควร

“ใช่มันเป็นเรื่องจริง แต่สำหรับผมแล้ว วันหยุดก็คือวันหยุด”

เราพอจะพูดได้เกี่ยวกับวิถีความเป็นมืออาชีพของ อาซาร์ ไม่มากพอสำหรับการไปสู่จุดพีกเหมือนอย่างนักเตะบางคน

แต่หากเคยให้สัมภาษณ์ไว้ในทำนองนี้ ย่อมหมายความว่าเขาต้องเลือกทางเดินไว้แล้ว นี่คงเป็นสิ่งที่ต้องการ

อาซาร์ เองรู้ดีว่าถ้าเคร่งครัดแบบ โรนัลโด้ ซ้อมอย่างหนัก ดูแลร่างกายตัวเองอย่างดีทุกวินาที โอกาสจะเป็นซูเปอร์สตาร์เบอร์ต้นๆของโลกย่อมมีสูง

บางทีนั่นอาจไม่ใช่เป้าหมายหรือสิ่งที่เขาต้องการมากสุดก็ได้

เกาะติดวงการลูกหนังไทยและต่างประเทศ

Line @kickoff69 ได้ที่นี่

ใช้ ผี เป็นเครื่องมือ ! เซร์คิโอ รามอส กลับมาเกี่ยวพันกับปีศาจแดงอีกครั้ง

สื่อต่างๆ นัดกันโหมกระแส เซร์คิโอ รามอส เซ็นล่วงหน้ากับแมนฯยูไนเต็ด โดยจะย้ายมาในซัมเมอร์ที่จะถึงนี้

พร้อมระบุว่าจะได้รับค่าจ้างราว 200,000 ปอนด์ต่อสัปดาห์ ซึ่งเป็นเรตที่ไม่ได้สูงอะไรนัก

ตามสถานการณ์ที่เราต่างรับรู้กันนั่นแหล่ะ สัญญา รามอส ที่มีอยู่กับเรอัล มาดริดจะครบเทอมในมิถุนายน 2021 หรืออีกแค่ 5 เดือนเท่านั้นและการเจรจาเพื่อขยายออกไปไม่เป็นเป็นผล

เหตุผลที่สะดุดมาจาก 2 ข้อใหญ่ๆ หนึ่งคือระยะเวลาสัญญามาดริดไม่ให้เกิน 1 ปีหรอก นักเตะอายุมากแล้ว มีนาคมนี้จะครบ 35 วัดตามมาตรฐานใกล้แขวนสตั๊ดเต็มที

อาจอนุโลมในแง่ที่ รามอส รับใช้ทีมมาตั้งแต่ปี 2005 ย้ายจากเซบีย่ามาแล้วเป็นตัวหลักในแนวรับมาตลอด แทบไม่เคยประสบปัญหาอาการบาดเจ็บหนักๆเลย จึงมีอ็อปชั่นแนบไว้อีก 1 ปี

แน่นอนว่าเป้าหมายของ รามอส ไม่ใช่แบบนี้ เขาไม่จำเป็นต้องทวงบุญคุณอะไร แต่เรียกร้องตามความต้องการนั่นคือต้องได้ 2 ปี

อย่างน้อยที่สุดมันต้องมองเห็นคุณค่าของซื่อสัตย์ภักดีกันบ้าง ไม่ใช่คำนึงถึงผลประโยชน์ของสโมสรฝ่ายเดียวเท่านั้น

แม้จะไม่มีการเปิดเผยตัวเลขจริงๆ แต่จากสื่อและแหล่งข้อมูลส่วนใหญ่เชื่อว่าได้จากมาดริดไม่เกิน 11 ล้านปอนด์ต่อปี

คำนวณแล้วตกสัปดาห์ล่ะ 2.2 ล้านปอนด์ สำหรับนักเตะที่เป็นกัปตันทีม คล้ายอีกหนึ่งสัญลักษณ์ แม้จะไม่ได้เติบโตมาจากอะคาเดมี่ แต่ก็หลักไมล์ที่รับใช้สโมสรก็ยืนยาวเข้าสู่ปีที่ 16

สำคัญไม่น้อยไปกว่ากันคือ รามอส สามารถรักษามาตรฐานได้อย่างดีเยี่ยม อีกทั้งนำความสำเร็จมากมายมาให้

15 ปีของเขาคว้าแชมป์ลาลีกา 5 ครั้ง ยูฟ่า แชมเปี้ยนส์ ลีกอีก 4 ครั้ง รวมทั้งติดทีมยอดเยี่ยมยูฟ่าถึง 9 ครั้งด้วยกัน

แต่ด้วยสถานการณ์ปัจจุบัน ไวรัสที่ระบาดหนักจนหลายสโมสรอ่วมไปตามๆกัน นี่จึงไม่ใช่ช่วงเวลาจะต้องมาเปย์ก้อนใหญ่แลกกับนักเตะวัย 35 ปีเลย

เต็มที่คือตัวเลขเท่าเดิม เคสแบบนี้ควรเห็นใจสโมสรที่มีความเสี่ยงจะหนี้พอกได้แบบบาร์เซโล่าเผชิญอยู่ ไม่ใช่เห็นแก่ได้ฝ่ายเดียว

ในเมื่อต่างฝ่ายต่างมีจุดยืนอันมั่นคงและเหตุผลของตัวเอง บทสรุปง่ายๆคือแยกย้ายตัวใครตัวมัน

หากไม่มีเหตุคลาดเคลื่อน รามอส น่าจะเก็บเสื่อหมอนอำลามาดริด แต่ป้ายหน้าจะเป็นที่ไหนนั้น มันน่าติดตามไม่น้อย

ฉะนั้นการได้เล่นในลีกใหญ่ของยุโรป ที่เปลี่ยนบรรยากาศไปจากลาลีกา มันย่อมน่าลิ้มลองบรรยากาศมากๆ

และหากเราต่างเชื่อกันว่าพรีเมียร์ลีกคือลีกดีสุดในโลก รามอส เองก็คงมีความคิดในทำนองนั้นด้วย

เรเน่ รามอส พี่ชายซึ่งทำหน้าที่เอเจนต์ อยากจะมีส่วนในการโน้มน้าวน้าวน้องให้มาโชว์ฝีเท้าในลีกผู้ดีบ้าง ดังนั้นเลยถูกนำไปโยงกับแมนฯยูไนเต็ดอย่างที่รับรู้กัน

เป็นช่วงที่ โอเล่ กุนนาร์ โซลชา กำลังมองหาเซ็นเตอร์แบ็กชั้นเซียนมายืนคู่กับ แฮร์รี่ แม็กไกวร์ แม้วัยจะไม่ตรงสเป็กนัก แต่ในส่วนอื่นถือว่าเหมาะสมทั้งสิ้น

แมนฯยูไนเต็ดขบวนนี้ต้องการผู้นำในสนามที่กร้าวแกร่ง พร้อมชนแหลกกับฝั่งตรงข้ามและร้องถามผู้ตัดสินเพื่อปกป้องผลประโยชน์ให้ทีม รามอส จึงตอบโจทย์อย่างไม่ต้องสงสัย

นอกจากนี้แหล่งข่าววงในยังอ้างด้วยว่า โซลชา ไม่ได้สนใจ ดาโยต์ อูปาเมกาโน่ เท่าไรนัก ปล่อยให้ลิเวอร์พูล , เชลซีและบาเยิร์น มิวนิคเปิดศึกแย่งกัน ความเป็นไปได้ในเคสดึง รามอส จึงเพิ่มน้ำหนักมากกว่าเดิม

ในปี 2015 รามอส เคยตกเป็นข่าวกับแมนฯยูไนเต็ดอย่างหนักหน่วง หลุยส์ ฟานกัล กุนซือเวลานั้นเปิดแขนรอต้อนรับแล้ว แต่สุดท้ายกลับขยายสัญญามาดริดต่อ ท่ามกลางเสียงนินทาว่าแท้จริงใช้เป็นเครื่องมือเพื่อต่อรองต่างหาก

ผ่านไป 6 ปี รามอส กลับมาเกี่ยวพันกับปีศาจแดงอีกครั้ง ต่างกรรมต่างวาระกันไป

แมนฯยูไนเต็ดจะตกเป็นเครื่องมืออีกหรือไม่ อีกไม่นานเราคงได้คำตอบกัน

เกาะติดวงการลูกหนังไทยและต่างประเทศ

Line @kickoff69 ได้ที่นี่