เอดินสัน คาวานี่ ! ทุกอย่างที่ผ่านการพิสูจน์เรียบร้อย

เอดินสัน คาวานี่ ย้ายมาแมนฯยูไนเต็ดก่อนเส้นตายตลาดซื้อขายนักเตะซัมเมอร์ไม่กี่ชั่วโมง

สัญญา 1 ปีพ่วงด้วยอ็อปชั่นอีก 1 ปี ถือว่าสมเหตุสมผลกับนักเตะวัย 33 ย่าง 34 ปี

ข้อดีคือแมนฯยูไนเต็ดไม่ต้องจ่ายสักเพนนีเดียวให้กับปารีส แซงต์ แชร์กแมงเพื่อเป็นค่าตัวของ คาวานี่

แม้จะต้องควักค่าดำเนินการหรือเรียกว่าค่าน้ำร้อนน้ำชาให้กับ วอลเตอร์ กูกลีเอลโมเน่ เอเยนต์นักเตะซึ่งมีศักดิ์เป็นพี่ชายแท้ๆก็ตาม ยังไงก็ถือว่าคุ้ม

คาวานี่ เหมือนกับ เบล นั่นแหล่ะ พกเอาสภาพร่างกายไม่สมบูรณ์ติดมาด้วย หลังบาดเจ็บและแทบร้างสนามไม่ได้ลงเล่นให้เปแอสเชอย่างต่อเนื่อง

ครั้งสุดท้ายที่ลงต้องย้อนไปยัง 11 มีนาคมในเกมยูฟ่า แชมเปี้ยนส์ ลีกดวลกับโบรุสเซีย ดอร์ทมุนด์ จากนั้นก็ไม่เคยสัมผัสเกมอีกเลย

อย่างไรก็ดีก่อนเซ็นกับปีศาจแดง คาวานี่ พยายามรักษาร่างกายเรียกความฟิตตลอด เมื่อถึงเวลาจะได้พร้อมอย่างเต็มที่ไม่ต้องมารื้อฟื้นกันใหม่

ช่วงแรกจึงยังไม่ได้รับความไว้วางใจจาก โอเล่ กุนนาร์ โซลชา ซึ่งอธิบายไว้ว่าต้องการให้ร่างกายลงตัว ไม่อย่างนั้นอาจเสี่ยงต่ออาการบาดเจ็บซ้ำได้อีก

กว่าที่ คาวานี่ จะประเดิมต้องรอถึง 24 ตุลาคม ลงมาเป็นตัวสำรองแทน แดน เจมส์ ในช่วงครึ่งชั่วโมงสุดท้ายเกมลีกเสมอเชลซีแบบโนสกอร์ ซึ่งยังไม่ได้แผลงฤทธิ์อะไรนัก

แต่สิ่งที่ คาวานี่ สร้างความประทับใจมากๆคือช่วงฝึกซ้อม เปิดเผยให้เห็นความเป็นมืออาชีพเต็มเปี่ยม

ใครที่ไม่เคยรู้จักตัวตนหรือสัมผัสมาก่อน อาจเตลิดคิดไปว่า คาวานี่ ย่อมเหมือนกับแข้งอเมริกาใต้ทั่วไป ฝีเท้าไม่เป็นที่สงสัย แต่อารมณ์ศิลปิน มักทำตามใจตัวเอง ไม่ค่อยเน้นการทำงานหนัก เพราะคิดว่ามีพรสวรรค์คอยสนับสนุน

ทว่าตรงกันข้ามอย่างสิ้นเชิง คาวานี่ มุ่งมั่นและทำงานอย่างหนัก ไม่เคยแสดงอาการเหยาะแหยะ รวมทั้งคิดว่าตัวเองเป็นซูเปอร์สตาร์เลย

นอกจากนั้นยังใส่ใจทุกอย่าง ตั้งแต่เรื่องใหญ่ไล่ไปจนถึงสิ่งที่ทุกคนคิดว่าเล็กน้อย

ขนาดอาหารที่สโมสรจัดให้ซึ่งถูกหลักตามโภชนาการอยู่แล้ว กินได้ตามสะดวก แต่เขายังพิถีพิถัน ไม่ใช่ก้มหน้าก้มตาสวาปาม

พฤติกรรมเหล่านี้อยู่ในสายตาของ โซลชา และทีมงานมาตลอด ส่วนเพื่อนร่วมทีมก็รู้สึกดีเช่นกัน เพราะ คาวานี่ ยังคอยสอนน้องๆทุกคน พวกแข้งตัวรุกจะได้รับคำแนะนำที่ดี

ประสบการณ์และความเป็นมืออาชีพ คือจุดแข็งช่วยให้ คาวานี่ ยืนหยัดในจุดนี้ได้ ซึ่งมันไม่ใช่เรื่องง่ายสำหรับนักเตะที่อายุมากขึ้นทุกวัน

โซลชา ชื่นชมในตัวแข้งอุรุกวัยหลายอย่าง แม้กระทั่งการวิ่งไล่บอลกดดันฝั่งตรงข้าม ก็ล้วนแต่โชว์ให้รู้เลยว่าแพสชั่นแค่ไหน ไม่ใช่ว่าย้ายมาเพื่อโกยเงินในช่วงท้ายของอาชีพ

ไม่ใช่เรื่องแปลกเลยหากสโมสรจะตัดสินใจใช้อ็อปชั่นขยายสัญญาอีก 1 ปี ทุกอย่างเหมาะสม ไม่มีเหตุผลอะไรต้องมาค้างคากังขาน่าสงสัย

ตอนย้ายมาเขาอาจดูเหมือนว่าเป็นดีล panic buy ซื้อเพราะไม่ได้ใครแล้ว ล้มเหลวในการเจรจากับ เจดอน ซานโช่ เลยต้องรีบหาใครสักคนมาเสริม ไม่อย่างนั้นบอร์ดโดนถล่ม

ทุกอย่างผ่านการพิสูจน์เรียบร้อย สำหรับ คาวานี่ ไม่มีอะไรให้เคลือบแคลงกันอีก ของฟรีมีคุณภาพนานๆทีถึงตกมายังแมนฯยูไนเต็ดกันบ้าง

ปังปินาศ ! การวางแผนพลาดของบอร์ดบริหาร อาจเป็นต้นตอสำคัญทำ ดอร์ทมุนด์ ต้องเจอวิกฤต

เชื่อกันว่าหากย้อนเวลาได้ พวกเขาคงตัดสินใจขาย เจดอน ซานโช่ ให้แมนฯยูไนเต็ดในซัมเมอร์ที่ผ่านมาไปแล้ว

จากที่โก่งแรงถึง 120 ล้านยูโร ประกาศหัวชนฝาไม่ลดเด็ดขาด หากไม่ยอมจ่ายตามที่ต้องการ ก็คงต้องนึกเสียดายกันบ้างกับความโลภเกินลิตมิต

แมนฯยูไนเต็ดยืนยันว่าให้สูงสุดได้แค่ 105 ล้านยูโร หลังมีการต่อรองกันหลายครั้งแล้ว คงทุ่มมากกว่านี้ไม่ไหวหรอก ต้องเข้าใจสภาพเศรษฐกิจที่โควิดระบาดหนักอยู่บ้าง

แต่เมื่อไม่มีใครยอมถอย ดีลก็ค้างอยู่อย่างนั้นไม่เคยเกิดขึ้นเลย

มาวันนี้มีข่าวว่าดอร์ทมุนด์จำยอมต้องหั่นค่าตัว ซานโช่ ลงจาก 120 ล้านเหลือเพียงแค่ 100 ล้าน แต่ว่ากันตามตรงยังไงก็สูงอยู่ดี

เมื่อถึงซัมเมอร์นี้สัญญาของดาวเตะทีมชาติอังกฤษจะเหลืออีกแค่ 2 ปีเท่านั้น สิ้นสุดในฤดูร้อน 2023 การจะขายราคาดังกล่าวในสถานการณ์ที่ทุกสโมสรต่างอ่วมจากหนี้สินไปตามๆกัน แทบเป็นไปไม่ได้

นั่นยังไม่ต้องคำนึงถึงผลงานที่ดร็อปลงอย่างน่าใจหายของ ซานโช่ แทบจะไม่เหลือร่องรอยจากฤดูกาลก่อนอยู่เลย

ถามว่า โอเล่ กุนนาร์ โซลชา ยังอยากได้หรือเปล่า คำตอบคือเยส แต่หากต้องจ่ายแพงระยับเกินจริงคงต้องถอยหลับมา

ถ้า ซานโช่ พีกเหมือนเคยยังน่าสนใจ แต่นี่ไม่ใช่แล้วและดอร์ทมุนด์ไม่ได้กุมความได้เปรียบไว้อย่างที่เคย

ไม่ใช่ ซานโช่ คนเดียวเท่านั้น ทว่าทาง เออร์ลิ่ง ฮาแลนด์ ก็พร้อมจะโบยบินออกจากอ้อมอกเช่นเดียวกัน เพราะอยู่ไปก็ไม่น่าจะมีอะไรดีขึ้น ปัญหาของดอร์ทมุนด์สุมรุมมากมาย แถมอาจไม่ได้เข้าร่วมยูฟ่า แชมเปี้ยนส์ ลีกซีซั่นหน้าอีก

นักเตะชั้นนำทุกคนต่างต้องการเล่นถ้วยใหญ่ยุโรปทั้งสิ้น ฮาแลนด์ เองก็อยากจะพิสูจน์และพัฒนาฝีเท้าเช่นกัน

นอกจากสองคนดังกล่าวซึ่งเปรียบเสมือนกล่องดวงใจแล้ว ชื่อของ จู๊ด เบลลิงแฮม , โจวานนี่ เรย์น่า , อักเซล วิตเซล หรือ ราฟาเอล เกร์เรยโร่ ล้วนอยู่ในข่ายโดนผ่องถ่ายเพื่อพยุงการเงินทั้งหมด

หากสถานการณ์บีบให้ต้องขายแข้งหลักออกสัก 4-5 คนจริงๆ มันย่อมส่งตรงไปถึงความเชื่อมั่นของแฟนบอลและผลงานในสนามด้วย ไม่ง่ายเลยที่จะเร่งตัวเองฟื้นกลับมาเหมือนอย่างเคย

หากพลาดโควต้ายูฟ่า แชมเปี้ยนส์ ลีกซีซั่นหน้า รับรองว่าดูไม่จืดเลย

 

เกาะติดวงการลูกหนังไทยและต่างประเทศ

Line @kickoff69 ได้ที่นี่

เอแดน อาซาร์ กับทางเดิน ที่เลือกไว้แล้ว

ไม่ผิดนักหากจะพูดว่า อาซาร์ คือตัวแทน คริสเตียโน่ โรนัลโด้ ซูเปอร์ฮีโร่คนเดิม ที่เผ่นไปยูเวนตุสแบบปุบปับตั้งแต่ปี 2018

ฟลอเรนติโน่ เปเรซ ประธานสโมสรมั่นใจในตัวปีกเบลเจี้ยนมากๆ ไม่ใช่แค่ฟอร์มจะเปรี้ยงปร้างเท่านั้น แต่ยังจะปั้นให้ขึ้นสู่ตำแหน่งดาวดวงใหม่ด้วย

อาซาร์ อาจมีลีลาคล้ายกับ โรนัลโด้ แต่ปัจจัยสำคัญอื่นๆผิดกันลิบลับ โดยเฉพาะเรื่องของวินัยและความเคร่งครัดในการดูแลตัวเอ

หลายครั้งที่เราได้เห็นเขาอยู่ในสภาพอ้วนฉุ ปล่อยน้ำหนักพุ่งพรวดเกินมาตรฐานนักเตะอาชีพ เหตุมาจากการกินแบบตามใจปาก

ไม่ใช่แค่อาหารเท่านั้นที่เลือกผิดหลักโภชนาการ แต่ยังนิยมดื่มอีกต่างหาก ต่อให้พรสวรรค์เหนือชั้นแค่ไหน ก็ยากที่จะไปได้สุดตามที่ตั้งเป้าเอาไว้

สมัยอยู่เชลซียังหนุ่มแน่น ร่างกายแข็งแรงไม่ค่อยบาดเจ็บให้มาต้องซ่อมแซมส่วนที่สึกหรอผุพังกันเท่าไรนัก

ล่าสุดสื่อสายมาดริดและแฟนบอลตั้งคำถามแล้ว ตกลงเกิดอะไรขึ้นกับ อาซาร์ กันแน่?

นับถึงตรงนี้ อาซาร์ สวมยูนิฟอร์มสีขาวของมาดริดครบ 18 เดือนแล้ว ลองไปเทียบตัวเลขต่างกับ เบล ในช่วงเวลาเดียวกันดู เผื่อจะฉายภาพต่างๆได้ชัดเจนมากยิ่งขึ้น

อาซาร์ ลงเล่นไปแล้ว 31 นัดทุกรายการ ทำไปได้เพียง 3 ประตูกับอีก 7 แอสซิสต์ จากจำนวน 1,964 นาที โดยที่คว้าแชมป์สแปนิช ซูเปอร์คัพกับลาลีกามาครอง ซึ่งไม่ได้มีส่วนร่วมเท่าไรเลย

ส่วน 18 เดือนของ เบล ลงสนามแบบเต็มเม็ดเต็มหน่วย พัฒนาฝีเท้าและพิสูจน์จนเป็นตัวหลัก โม่แข้งทั้งสิ้น 69 เกม ซัดไปถึง 34 ประตู 24 แอสซิสต์ใน 5,453 นาที

เขาครองแชมป์สแปนิช ซูเปอร์คัพ ยิงประตูสำคัญให้มาดริดผงาดยูฟ่า แชมเปี้ยนส์ ลีก อีกทั้งได้ยูโรเปี้ยน ซูเปอร์คัพอีกด้วย

ความจริงแล้วในช่วงปีครึ่ง อาซาร์ ควรจะรับใช้มาดริด 75 เกม ไม่ใช่เพิ่งลงเพียงแค่ 31 แถมถูกเปลี่ยนตัวออกหรือเป็นสำรองหลายนัดมาก

มาร์ซิน บุลก้า ผู้รักษาประตูชาวโปแลนด์ ซึ่งเคยเล่นในระดับเยาวชนให้เชลซีและเคยเห็นพฤติกรรมต่างของ อาซาร์ เล่าให้ฟังเป็นฉากๆเลยว่า

“เขาชอบจั๊งก์ฟู้ดอย่างแฮมเบอร์เกอร์หรือว่าพิซซ่ามากๆ นั่นคือความสุขของเขาเลยล่ะ เขาไม่แคร์อะไรนอกจากอาหารและฟุตบอล”

เรื่องนี้หากไปถาม อาซาร์ ไม่เคยเถียงเลย รวมทั้งยักไหล่ไม่ใส่ใจอีกต่างหาก เมื่อกลับมารายงานตัวแล้วน้ำหนักทะยานอย่างไม่สมควร

“ใช่มันเป็นเรื่องจริง แต่สำหรับผมแล้ว วันหยุดก็คือวันหยุด”

เราพอจะพูดได้เกี่ยวกับวิถีความเป็นมืออาชีพของ อาซาร์ ไม่มากพอสำหรับการไปสู่จุดพีกเหมือนอย่างนักเตะบางคน

แต่หากเคยให้สัมภาษณ์ไว้ในทำนองนี้ ย่อมหมายความว่าเขาต้องเลือกทางเดินไว้แล้ว นี่คงเป็นสิ่งที่ต้องการ

อาซาร์ เองรู้ดีว่าถ้าเคร่งครัดแบบ โรนัลโด้ ซ้อมอย่างหนัก ดูแลร่างกายตัวเองอย่างดีทุกวินาที โอกาสจะเป็นซูเปอร์สตาร์เบอร์ต้นๆของโลกย่อมมีสูง

บางทีนั่นอาจไม่ใช่เป้าหมายหรือสิ่งที่เขาต้องการมากสุดก็ได้

เกาะติดวงการลูกหนังไทยและต่างประเทศ

Line @kickoff69 ได้ที่นี่

ตำนานเรือใบ ! บทสรุปของ กุน จะเป็นแบบไหน อนาคตจะยังอยู่หรือไม่ เวลาจะเป็นคำตอบ

กิตติศัพท์ความเก่งกาจของ กุน ย่อมตกอยู่ในโฟกัสของเหล่าแนวรับฝ่ายตรงข้าม แต่เขามีวิธีการรับมือได้ไม่ยากนัก

ผู้จัดการทีมคนไหนมีหัวหอกแบบนี้อยู่ในทีมย่อมแฮปปี้เป็นธรรมดา ไม่เจ็บไม่ว่าแถมยิงกระจุยอีกต่างหาก

อย่างไรก็ตามใช่ว่าจะโรแมนติกราบรื่นไปตลอด มีบ้างที่เกิดความขัดแย้งตามวิถี ยกตัวอย่างในปี 2017 กาเบรียล เชซุส กองหน้าดาวรุ่งทีมชาติบราซิลย้ายมาสมทบเพิ่มความดุดันในการเข้าทำ

มีอยู่ช่วง เชซุส ฟอร์มเข้าฝักมากๆ มีแววจะตอบโจทย์ความต้องการของ เป๊ป กวาร์ดิโอล่า เลยได้ลงเล่นต่อเนื่อง กระทั่งเบียด กุน ไปนั่งสำรองส่วนใหญ่

ดาวเตะอาร์เจนไตน์รู้สึกแย่มาก วาบความคิดอยากจะย้ายทีมขึ้นมา อย่างไรก็ดีเมื่อได้คุยเปิดใจกับเจ้านายทุกอย่างก็เรียบร้อย

กุน ได้เหรียญรางวัลแชมป์พรีเมียร์ลีกมาคล้องคอถึง 4 เหรียญ แชมป์ลีกคัพอีก 5 สมัย เอฟเอคัพอีก 1 เรียกว่าสัมผัสเกียรติยศในประเทศมาหมดแล้ว เหลือเพียงแค่ยูฟ่า แชมเปี้ยนส์ ลีกยังคงถวิลหาไล่ล่ากันต่อไป

กระนั้นฤดูกาลที่แล้วต่อเนื่องมายังซีซั่นปัจจุบัน เกิดสัญญาณเตือนที่ไม่ค่อยดีสักเท่าไรนัก

เริ่มจากเจ็บกล้ามเนื้อปลายปี 2019 พักร่วมเดือน พอหายกลับมาได้ยิงสม่ำเสมอก็ต้องมาเดี้ยงอีกช่วงรีสตาร์ท ครั้งนี้หนักหนาสุดในชีวิตการค้าแข้ง เพราะแผลที่หัวเข่าร้ายแรงถึงขั้นเบรกไปทั้งสิ้น 113 วันด้วยกัน

จากมิถุนายนต้องฟื้นฟูกันยาวถึงตุลาคมปีที่แล้ว พอสลัดเดี้ยงสำเร็จ หวนคืนสู่สังเวียนอีกคำรบก็ไม่เหมือนเดิมอีก

ราวเดือนพฤศจิกายนยังเผชิญกับปัญหาที่แฮมสตริงซึ่งเวียนมาเยือน มันเป็นแผลเก่าที่เคยเล่นงานมาก่อน แม้จะใช้เวลาเยียวยาไม่นานราว 3 สัปดาห์ แต่การบาดเจ็บแบบสะสม มันบ่งบอกเลยว่าร่างกายทรุดลงกว่าเดิม

ซีซั่นก่อนเขายิงได้ 23 ประตูทุกรายการ ดูแล้วไม่น้อยหรอก แต่ต่ำกว่ามาตรฐานที่เคยสร้างเอาไว้

ผลกระทบยาวมาถึงฤดูกาลนี้ เพิ่งจะลงให้ซิตี้ไปเพียงแค่ 9 เกม ไม่เคยอยู่ครบ 90 นาทีเลยสักเกม รวมแล้วอยู่ในสนาม 260 นาทีเท่านั้น ทำไปได้แค่ 2 ประตูไม่มีสักแอสซิสต์เดียว

ไม่น่าแปลกใจว่าทำไมประสิทธิภาพในการเข้าทำของเรือใบสีฟ้าจึงลดประสิทธิภาพลงอย่างน่าใจหาย ไม่เร่าร้อนรุนแรงเหมือนอย่างที่เคยทำไว้

นั่นจึงเป็นที่มาของกระแสอาจยุติ 10 ปีในฐานะแข้งซิตี้ โดยสัญญาฉบับปัจจุบันหมดลงในซัมเมอร์ที่จะถึงนี้

ทางออกของ กุน หากไม่กลับไปเล่นในอาร์เจนตินาบ้านเกิด ก็คงเลือกสโมสรใหญ่ในยุโรปที่พร้อมอ้าแขนรับ ท่ามกลางกระแสปารีส แซงต์ แชร์กแมงมีโอกาสมากสุด

ถึงตรงนี้ กุน เล่นให้แมนฯซิตี้ 379 นัด พร้อมผลงาน 256 ประตู หากจบซีซั่นแยกทางกันจริง คงยากที่จะเล่นครบ 400 เกม

และ เขาคือกองหน้าที่ดีสุดในประวัติศาสตร์แมนฯซิตี้อย่างแน่นอน

 

เกาะติดวงการลูกหนังไทยและต่างประเทศ

Line @kickoff69 ได้ที่นี่

ใช้ ผี เป็นเครื่องมือ ! เซร์คิโอ รามอส กลับมาเกี่ยวพันกับปีศาจแดงอีกครั้ง

สื่อต่างๆ นัดกันโหมกระแส เซร์คิโอ รามอส เซ็นล่วงหน้ากับแมนฯยูไนเต็ด โดยจะย้ายมาในซัมเมอร์ที่จะถึงนี้

พร้อมระบุว่าจะได้รับค่าจ้างราว 200,000 ปอนด์ต่อสัปดาห์ ซึ่งเป็นเรตที่ไม่ได้สูงอะไรนัก

ตามสถานการณ์ที่เราต่างรับรู้กันนั่นแหล่ะ สัญญา รามอส ที่มีอยู่กับเรอัล มาดริดจะครบเทอมในมิถุนายน 2021 หรืออีกแค่ 5 เดือนเท่านั้นและการเจรจาเพื่อขยายออกไปไม่เป็นเป็นผล

เหตุผลที่สะดุดมาจาก 2 ข้อใหญ่ๆ หนึ่งคือระยะเวลาสัญญามาดริดไม่ให้เกิน 1 ปีหรอก นักเตะอายุมากแล้ว มีนาคมนี้จะครบ 35 วัดตามมาตรฐานใกล้แขวนสตั๊ดเต็มที

อาจอนุโลมในแง่ที่ รามอส รับใช้ทีมมาตั้งแต่ปี 2005 ย้ายจากเซบีย่ามาแล้วเป็นตัวหลักในแนวรับมาตลอด แทบไม่เคยประสบปัญหาอาการบาดเจ็บหนักๆเลย จึงมีอ็อปชั่นแนบไว้อีก 1 ปี

แน่นอนว่าเป้าหมายของ รามอส ไม่ใช่แบบนี้ เขาไม่จำเป็นต้องทวงบุญคุณอะไร แต่เรียกร้องตามความต้องการนั่นคือต้องได้ 2 ปี

อย่างน้อยที่สุดมันต้องมองเห็นคุณค่าของซื่อสัตย์ภักดีกันบ้าง ไม่ใช่คำนึงถึงผลประโยชน์ของสโมสรฝ่ายเดียวเท่านั้น

แม้จะไม่มีการเปิดเผยตัวเลขจริงๆ แต่จากสื่อและแหล่งข้อมูลส่วนใหญ่เชื่อว่าได้จากมาดริดไม่เกิน 11 ล้านปอนด์ต่อปี

คำนวณแล้วตกสัปดาห์ล่ะ 2.2 ล้านปอนด์ สำหรับนักเตะที่เป็นกัปตันทีม คล้ายอีกหนึ่งสัญลักษณ์ แม้จะไม่ได้เติบโตมาจากอะคาเดมี่ แต่ก็หลักไมล์ที่รับใช้สโมสรก็ยืนยาวเข้าสู่ปีที่ 16

สำคัญไม่น้อยไปกว่ากันคือ รามอส สามารถรักษามาตรฐานได้อย่างดีเยี่ยม อีกทั้งนำความสำเร็จมากมายมาให้

15 ปีของเขาคว้าแชมป์ลาลีกา 5 ครั้ง ยูฟ่า แชมเปี้ยนส์ ลีกอีก 4 ครั้ง รวมทั้งติดทีมยอดเยี่ยมยูฟ่าถึง 9 ครั้งด้วยกัน

แต่ด้วยสถานการณ์ปัจจุบัน ไวรัสที่ระบาดหนักจนหลายสโมสรอ่วมไปตามๆกัน นี่จึงไม่ใช่ช่วงเวลาจะต้องมาเปย์ก้อนใหญ่แลกกับนักเตะวัย 35 ปีเลย

เต็มที่คือตัวเลขเท่าเดิม เคสแบบนี้ควรเห็นใจสโมสรที่มีความเสี่ยงจะหนี้พอกได้แบบบาร์เซโล่าเผชิญอยู่ ไม่ใช่เห็นแก่ได้ฝ่ายเดียว

ในเมื่อต่างฝ่ายต่างมีจุดยืนอันมั่นคงและเหตุผลของตัวเอง บทสรุปง่ายๆคือแยกย้ายตัวใครตัวมัน

หากไม่มีเหตุคลาดเคลื่อน รามอส น่าจะเก็บเสื่อหมอนอำลามาดริด แต่ป้ายหน้าจะเป็นที่ไหนนั้น มันน่าติดตามไม่น้อย

ฉะนั้นการได้เล่นในลีกใหญ่ของยุโรป ที่เปลี่ยนบรรยากาศไปจากลาลีกา มันย่อมน่าลิ้มลองบรรยากาศมากๆ

และหากเราต่างเชื่อกันว่าพรีเมียร์ลีกคือลีกดีสุดในโลก รามอส เองก็คงมีความคิดในทำนองนั้นด้วย

เรเน่ รามอส พี่ชายซึ่งทำหน้าที่เอเจนต์ อยากจะมีส่วนในการโน้มน้าวน้าวน้องให้มาโชว์ฝีเท้าในลีกผู้ดีบ้าง ดังนั้นเลยถูกนำไปโยงกับแมนฯยูไนเต็ดอย่างที่รับรู้กัน

เป็นช่วงที่ โอเล่ กุนนาร์ โซลชา กำลังมองหาเซ็นเตอร์แบ็กชั้นเซียนมายืนคู่กับ แฮร์รี่ แม็กไกวร์ แม้วัยจะไม่ตรงสเป็กนัก แต่ในส่วนอื่นถือว่าเหมาะสมทั้งสิ้น

แมนฯยูไนเต็ดขบวนนี้ต้องการผู้นำในสนามที่กร้าวแกร่ง พร้อมชนแหลกกับฝั่งตรงข้ามและร้องถามผู้ตัดสินเพื่อปกป้องผลประโยชน์ให้ทีม รามอส จึงตอบโจทย์อย่างไม่ต้องสงสัย

นอกจากนี้แหล่งข่าววงในยังอ้างด้วยว่า โซลชา ไม่ได้สนใจ ดาโยต์ อูปาเมกาโน่ เท่าไรนัก ปล่อยให้ลิเวอร์พูล , เชลซีและบาเยิร์น มิวนิคเปิดศึกแย่งกัน ความเป็นไปได้ในเคสดึง รามอส จึงเพิ่มน้ำหนักมากกว่าเดิม

ในปี 2015 รามอส เคยตกเป็นข่าวกับแมนฯยูไนเต็ดอย่างหนักหน่วง หลุยส์ ฟานกัล กุนซือเวลานั้นเปิดแขนรอต้อนรับแล้ว แต่สุดท้ายกลับขยายสัญญามาดริดต่อ ท่ามกลางเสียงนินทาว่าแท้จริงใช้เป็นเครื่องมือเพื่อต่อรองต่างหาก

ผ่านไป 6 ปี รามอส กลับมาเกี่ยวพันกับปีศาจแดงอีกครั้ง ต่างกรรมต่างวาระกันไป

แมนฯยูไนเต็ดจะตกเป็นเครื่องมืออีกหรือไม่ อีกไม่นานเราคงได้คำตอบกัน

เกาะติดวงการลูกหนังไทยและต่างประเทศ

Line @kickoff69 ได้ที่นี่