ทำไม ? ฟานไดค์ ถึงสำคัญกับ หงส์แดงในยุคของ ” คล็อป “

ก่อนอื่น ต้อง ขอยอมรับก่อนว่า ฟุตบอลในยุค ปัจจุบันนี้ ถ้าถาม ใครคือกองหลัง ที่เก่งที่สุดในโลก คงต้องมี ชื่อ ของ” ฟานไดค์ ” อยู่อย่างแน่นอน ซึ่งเป็นเรื่องโชคร้ายอย่างที่สุด ที่ ทีมหงส์แดงต้องมาเสีย

เขาไป ตั้งแต่พึ่งเริ่มฤดูกาลอย่างรวดเร็ว จากการปะทะ กับ จอร์แดน พิคฟอร์ด ในนัดที่ ลิเวอร์พูล เจอกับ เอฟเวอตัน และนับตั้งแต่

ที่เขาบาดเจ็บยาวไปนั้น ทีมหงส์แดง ลิเวอร์พูลก็ไม่สามารถที่จะขยับแต้ม ขึ้นมา อยู่ในกลุ่มไล่ล่าแชมป์ ในฤดูกาลนี้ได้เลย

เพราะ ตัวเขานั้น มีพร้อม ทั้งความแข็งแกร่ง ความเร็ว ลูกกลางอากาศ และ เซนส์ การจ่ายบอลที่ดี รวมถึงการ อ่านจังหวะกระแสของเกม และนี่คือสาเหตุ ที่ หงส์แดง ลิเวอร์พูล

ในยุคของ เจอเก้น คล็อป จะขาดเขาในทีมไปไม่ได้

1. การมีอยู่ของเขา ทำให้แผงหลัง กล้าที่จะดันขึ้นสูง เพราะ ขอบเขตการป้องกัน ที่กว้างของเขา ต่อให้โดนเล่นเกมสวนกลับ ก็สามารถที่จะ วิ่งกลับมาป้องกันได้ทัน

2. การวางบอลจากแนวลึกให้ ปีกสองข้าง ทำเกมรุก ฟานไดจ์ นั้น มีการเปอร์เซนต์ การวางบอลที่แม่นยำ มากถ้าเทียบกับกองหลัง คนอื่นๆ ดังนั้น

จะเห็นได้อยุ่บ่อยครั้ง ที่ลิเวอร์พูล จะขึ้นเกมจากเขา

3. คอยซ็อน ฟูลแบ๊ค สองข้าง ทำให้ ฟูลแบ๊ค อย่าง อเล็กซานเดอร์ อาร์โนล และ โรเบิร์ตสัน สามารถทำหน้าที่ ตัวเองได้ เพราะต่อให้ คู่แข่งใช้

ผู้เล่นปีกความเร็วสูงเจาะ ทางฟูลแบ๊ค ที่เติมเกมรุก วานไดจ์ ก็สามารถที่จะ 1-1 หยุดพวกเขาได้

4. คอยป้อง กันลูกกลางอากาศให้กับทีม และทำประตู จากลูกเตะมุม จะเห็นได้ชัดๆ เลยว่า ปัจจุบันนี้จากการบาดเจ็บ ของเขา ทุกทีมที่เจอ กับ หงส์แดงตอนนี้ ต่างพากัน ใช้ลูกกลางอากาศโจมตี เขาแทบจะ

ทุกทีมที่เจอ และ จากการบาดเจ็บของเขา ก็ทำให้หงส์แดง ณ ตอนนี้ไม่เหมือนทีม แชมป์เก่า อีกต่อไป เชื่อว่า แฟนหงส์แดงทุกคน คงคิดถึง วันที่ เขา กลับมา ร่วม ไล่ล่าแชมป์ มาให้แฟนๆได้เชยชมอย่าง

แน่นอน

เกาะติดวงการลูกหนังไทยและต่างประเทศ

Line @kickoff ได้ที่นี่

น้อง “เป้” ขึ้นแท่น อนาคตของวงการฟุตบอล ที่จะมาแทนที่ โรนัลโด้ เมซซี่

ก่อน อื่นต้องยอมรับก่อนเลย ว่า ถ้านึกถึง ฟุตบอล ในรอบ เกือบ 20ปีที่ผ่านมา ไม่ว่าจะ เป็นใครก็ต้อง รู้จัก คริสเตียโน่ โรนัลโด้ และ ลีโอเนล เมซซี่ 2 โคตรแข้งที่เป็นปรากฎการณ์มาอย่าง ยาวนาน

ไม่ว่าย้าย ไปอยู่ทีมไหน ทั้งลีคเติบโตขึ้นเรื่อง ภาพลักษณ์ ธุรกิจฐาน คนดู แฟนๆ เพิ่มขึ้นอย่างแน่นอน ทำให้ไม่ว่าใครก็อยากได้ พวกเขา2คนไปร่วมทีม แต่กาลเวลา ผ่านไป พวกเขาทั้ง 2เริ่มโรยราไปตามอายุ

แต่วงการฟุตบอล ก็ยังไม่ อาจหาตัวแทนที่จะ แทนที่พวกเขา ทั้งสองคนได้เลย คนที่ดูจะใกล้เคียงที่สุด น่าจะเป็น เนย์มา ถ้าไม่ติดเรื่องที่ซุปเปอร์สตาร์ชาวแซมบ้าขาดวินัยนอกสนาม

การเล่นที่ห่างไกลคำว่า”ทีม”ทำให้ไม่ประสบความสำเร็จสักเท่าไร แต่ถ้านับจากฝีเท้าล้วนๆ ป่านนี้คงจะมาแทน2คนนี้ไปนานแล้ว

ต่างกับ เอมบาปเป้ ที่ดูจะเต็มที่กับฟุตบอลตลอดทุกนัด ที่ลงแข่ง และ มีถ้วยรางวัลติดไม้ติดมือ การันตีความสำเร็จ มามากมาย

บรรดา กูรู หลายๆคนก็ออกมาชม กันอย่างหนาหู ถึงดาวรุ่งมากพรสวรรค์ คนนี้ อย่างมาก

โจ โคล “การเอาชนะตัวประกบ การเล่นกับเพื่อนร่วมทีม ความขยันตอนที่ไม่ได้ ครองบอล เขาสุดยอดในทุกแง่มุม ปัจจุบันนี้ เขาเป็น 1 ในตัวชูโรง ของวงการฟุตบอลไปแล้ว”

เจมี่ คาราเกอร์ “ผมไม่ได้พูดเล่นนะ เขาเคยเกือบได้ย้ายมา อยู่กับลิเวอร์พูล แล้วสมัยยังค้าแข้งให้กับ โมนาโก”

“ถ้าจะนับทีมในพรีเมียร์ลีค ที่เหมาะสมกับเขาในเวลา นี้ เห็นจะมีแค่ ลิเวอร์พูล และ แมนเชสเตอร์ซิตี้เท่านั้น”

มีรายงานจากทางฝรั่งเศสว่า ปารีส แซงต์-แชร์กแมง ได้ยื่นสัญญาใหม่ให้กับ คิลิยัน เอ็มบัปเป้หัวหอกมหากาฬเป็นเวลา4ปีนักเตะได้พิจารณาข้อเสนอดังกล่าวมาหลายเดือนแล้วแต่ยังไม่ตอบรับแต่อย่างใด

ซึ่งแข้งวัย 22 ปีกำลังถูกถามถึงเรื่องอนาคต กันอย่างต่อเนื่องเพราะตัวเขาเหลือสัญยาอยู่ถึงปี 2022 เท่านั้น

บรรดาทีมยักษ์ใหญ่ได้ เช่น แมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ด แมนซิตี้ ลิเวอร์พูล และ รีลมาดริด ต่างอยากได้ตัวเขาไปร่วมทีมกันหมด

เชื่อได้เลยว่า การย้ายทีมของ เขาจะเป็นข่าวใหญ่ในวงการฟุตบอลอย่างแน่นอน

 

เกาะติดวงการลูกหนังไทยและต่างประเทศ

Line @kickoff69 ได้ที่นี่

ในช่วงเวลาที่ไม่เป็นใจ ! อย่าให้ตัวแพ้ใจ แล้วเดินไปข้างหน้าให้ได้

หลังพ่ายเลสเตอร์ ซิตี้ 1-3 ตัวเลขระบุไว้ว่า 12 เกมหลังสุดทุกรายการของลิเวอร์พูล ชนะแค่ 3 เกมและแพ้ถึง 6 ด้วยกัน

พูดกันตรงๆแบบไม่ต้องอ้อมค้อมนี่คือสัญญาณที่เลวร้ายมากๆ สำหรับเจ้าของแชมป์พรีเมียร์ลีกเมื่อฤดูกาลที่แล้ว ซึ่งโกยแต้มไปถึง 99 เรียกว่าผ่านครึ่งทางก็แทบจะสลักชื่อไว้บนฐานโทรฟี่ได้เลย

แต่มาซีซั่นนี้ทุกอย่างเปลี่ยนไปแบบปุบปับ อย่าว่าแต่เดอะ ค็อปทั้งหลายไม่ทันตั้งตัวและทำใจ แต่บรรดานักเตะหรือ เจอร์เก้น คล็อปป์ เองก็ไม่แตกต่างกัน

เข้าใจว่าปัญหามาจากอาการบาดเจ็บของผู้เล่นในแนวรับ เมื่อต้องขาดหายไปทั้ง เฟอร์กิล ฟานไดค์ และ โจ โกเมซ สองกระดูกสันหลัง อีกทั้งไม่ได้ซื้อใครมาแทน เดยัน ลอฟเรน ดราม่าเลยตามมาทันที

ดังนั้นจึงได้แค่คว้าแข้งโนเนมอย่าง เบน เดวิส และ ตัดสินใจยืม โอซาน คาบัค มาจากชาลเก้ 04 พร้อมอ็อปชั่นซื้อขาด

เดวิส ถือเป็นดีลเซอร์ไพรส์ได้มาจากเปรสตัน นอร์ธเอนด์ทีมจากเดอะ แชมเปี้ยนชิพ แทบไม่เคยมีใครรู้จักมักจี่หรือเห็นฟอร์มแบบชัดๆเลย

แต่การได้เซ็นเตอร์แบ็กอาชีพมาช่วย ก็ย่อมเป็นเรื่องดีกว่าใช้กองกลางมาเล่นแทนแก้ขัด

ส่วนเคสของ คาบัค น่าสนใจมาก เคยตกเป็นข่าวโยงกับลิเวอร์พูลอย่างหนักเมื่อซัมเมอร์ แต่โดนโก่งราคาโหดเกิน จนต้องถอยกลับมาตั้งหลักกันใหม่

แน่นอนว่า คาบัค ยังใหม่มากๆ การสื่อสารอาจกลายเป็นปัญหา ทว่ามันไม่ควรมาพลาดในช่วงเวลาแบบนี้

จากที่ช็อกอยู่แล้ว อาการผู้เล่นลิเวอร์พูลยิ่งหนักกว่าเดิม กระทั่งนำไปสู่การเสียประตูที่สาม ซึ่งกองหลังเติร์กมีส่วนรับผิดชอบด้วยเช่นเดียวกัน จากการเช็คไลน์ไม่ดี

ปัญหาของลิเวอร์พูลไม่ได้อยู่ที่เกมรับรั่วหนักเท่านั้น แต่ยังลามไปยังเรื่องสภาพจิตใจอีกด้วย

เหมือนอย่างที่ คล็อปป์ ให้สัมภาษณ์ไว้นั่นแหล่ะ ความผิดพลาดบุคคลนำไปสู่หายนะ พยายามปรับปรุงแล้ว แต่เมื่อนักเตะตอบสนองไม่ได้เองก็ต้องยอมรับ

ทุกอย่างถาโถมมาในช่วงเวลาเดียวกัน การที่ คล็อปป์ ยังยืนหยัดต่อสู้ได้ขนาดนี้ ต้องรับเลยว่าแกร่งมากพอแล้ว

แต่อาจไม่มากพอที่จะพาทีมกลับเข้าสู่เส้นทางของตัวเอง ซึ่งเดอะ ค็อปทั้งหลายต่างเข้าใจดีในสถานการณ์ที่เกิดขึ้น ไม่มีใครโทษบอสแน่นอน

นี่คือเวลาที่นักเตะลิเวอร์พูลต้องลืมฝันร้ายที่ผ่านมาให้ได้ทั้งหมด ลืมเรื่องป้องกันแชมป์ นึกแค่ว่าจากนี้ทุกนัดเล่นให้เหมือนนัดชิงบอลถ้วย

คล็อปป์ เคยนำนาวาฝ่าพายุห่าใหญ่มาได้แล้ว หากจะต้องกอดคอต่อสู่ด้วยกันอีกครั้ง มันคงไม่ใช่เรื่องน่ากลัวหรอก

 

เกาะติดวงการลูกหนังไทยและต่างประเทศ

Line @kickoff69 ได้ที่นี่

สตีเวน เจอร์ราร์ด ! ผู้จัดการทีมลิเวอร์พูลจะไม่อยู่ในจินตนาการอีกต่อไป

เดอะ ค็อปจึงวาดฝันไว้ว่าเมื่อถึงวันนั้นหรืออีก 4 ปีข้างหน้า เจอร์ราร์ด คงสุกงอมพอสำหรับตำแหน่งนายใหญ่หงส์แดง

อย่างไรก็ตามสิ่งที่ เจอร์ราร์ด เจ็บปวดคือในศึกโอลด์เฟิร์มทั้ง 3 เกมที่ดวลกับเซลติก ล้วนแต่ปราชัยทั้งสิ้น

การเผชิญหน้ากันของสองทีมนี้ อาจไม่ได้สลักสำคัญอะไรในโลกฟุตบอล แต่อินเนอร์ของกองเชียร์แล้วจะมาแบบเข้มเต็มพิกัด ความพ่ายแพ้ถือเป็นรอยด่างพร้อยเลยทีเดียว

ฤดูกาลปัจจุบัน เจอร์ราร์ด จึงหมายมั่นต้องนำทีมล้มเซลติกให้ได้ ไม่ใช่แค่เกมที่ต้องเจอกันอย่างเดียว แต่หมายถึงต้องกลับคืนสู่อำนาจอีกครั้งด้วยการเป็นแชมป์ลีกด้วย

เรนเจอร์สจึงออกสตาร์ตซีซั่นปัจจุบันด้วยผลงานอันเยี่ยมยุทธ 20 นัดทุกรายไม่แพ้เลย อีกทั้งเป็นการเสมอเพียงแค่ 3 เกมเท่านั้น

บนตารางเชิดหน้านำจ่าฝูงอย่างสง่างามทิ้งห่างเซลติก 9 แต้มเต็ม แม้หนทางยังทอดยาวอีกไกล แต่สาวกเดอะไลท์บลูส์ย่อมมองข้ามช็อตแล้ว สิบปีเต็มที่ห่างหายจากสารบบ มันนานมากๆ

นี่คือผลงานระดับมาสเตอร์พีซของจริง เพราะเทียบงบประมาณต่างๆแล้ว เรนเจอร์สใช้น้อยกว่าเซลติกเกือบเท่าตัวด้วยกัน

อย่างค่าจ้างผู้เล่นแค่ปีละ 34 ล้านปอนด์เท่านั้น เทียบกับเซลติกคือ 56 ล้านปอนด์ถือว่าต่างกันไม่ใช่น้อยๆ

แต่ เจอร์ราร์ด เฟ้นหานักเตะที่มีแววด้วยราคาไม่แพง ก่อนมาขัดเกลาจนส่องประกายเจิดจ้าน่าสนใจ

ยกตัวอย่าง คอร์เนอร์ โกลด์สัน ซึ่งย้ายมาจากไบทร์ตันในปี 2018 ยกระดับกลายเป็นเซ็นเตอร์แบ็กที่ดีสุดคนหนึ่งของลีก

สตีฟ เดวิส กลายเป็นห้องเครื่องสำคัญ ด้วยวัย 35 ปีประสบการณ์อันโชกโชน โดยผ่านเกมในพรีเมียร์ลีกมาแล้ว สามารถประคับประคองเป็นเสาหลักได้อย่างมั่นคง

เช่นเดียวกับคูหู่อย่าง ไรอัน แจ็ค ฟอร์มดีผิดหูผิดตา นับตั้งแต่ย้ายมาในปี 2017 นี่ถือเป็นช่วงที่พีกสุด จนกลับมาติดทีมชาติสก๊อตแลนด์อีกครั้ง

ชัดเจนเลยว่าหลังผ่านการเรียนรู้และสรุปบทเรียนได้แล้ว เจอร์ราร์ด ก็จัดการบริหารตามแนวทางของตนทีละขั้นตอน ไม่มีการก้าวข้ามหรือขึ้นลิฟท์ทางลัด

ผลงานดีแบบนี้ใครอยากเห็น เจอร์ราร์ด รับไม้ต่อจาก คล็อปป์ อาจไม่ได้เป็นเพียงแค่ฝัน

 

เกาะติดวงการลูกหนังไทยและต่างประเทศ

Line @kickoff69 ได้ที่นี่

ใช้ ผี เป็นเครื่องมือ ! เซร์คิโอ รามอส กลับมาเกี่ยวพันกับปีศาจแดงอีกครั้ง

สื่อต่างๆ นัดกันโหมกระแส เซร์คิโอ รามอส เซ็นล่วงหน้ากับแมนฯยูไนเต็ด โดยจะย้ายมาในซัมเมอร์ที่จะถึงนี้

พร้อมระบุว่าจะได้รับค่าจ้างราว 200,000 ปอนด์ต่อสัปดาห์ ซึ่งเป็นเรตที่ไม่ได้สูงอะไรนัก

ตามสถานการณ์ที่เราต่างรับรู้กันนั่นแหล่ะ สัญญา รามอส ที่มีอยู่กับเรอัล มาดริดจะครบเทอมในมิถุนายน 2021 หรืออีกแค่ 5 เดือนเท่านั้นและการเจรจาเพื่อขยายออกไปไม่เป็นเป็นผล

เหตุผลที่สะดุดมาจาก 2 ข้อใหญ่ๆ หนึ่งคือระยะเวลาสัญญามาดริดไม่ให้เกิน 1 ปีหรอก นักเตะอายุมากแล้ว มีนาคมนี้จะครบ 35 วัดตามมาตรฐานใกล้แขวนสตั๊ดเต็มที

อาจอนุโลมในแง่ที่ รามอส รับใช้ทีมมาตั้งแต่ปี 2005 ย้ายจากเซบีย่ามาแล้วเป็นตัวหลักในแนวรับมาตลอด แทบไม่เคยประสบปัญหาอาการบาดเจ็บหนักๆเลย จึงมีอ็อปชั่นแนบไว้อีก 1 ปี

แน่นอนว่าเป้าหมายของ รามอส ไม่ใช่แบบนี้ เขาไม่จำเป็นต้องทวงบุญคุณอะไร แต่เรียกร้องตามความต้องการนั่นคือต้องได้ 2 ปี

อย่างน้อยที่สุดมันต้องมองเห็นคุณค่าของซื่อสัตย์ภักดีกันบ้าง ไม่ใช่คำนึงถึงผลประโยชน์ของสโมสรฝ่ายเดียวเท่านั้น

แม้จะไม่มีการเปิดเผยตัวเลขจริงๆ แต่จากสื่อและแหล่งข้อมูลส่วนใหญ่เชื่อว่าได้จากมาดริดไม่เกิน 11 ล้านปอนด์ต่อปี

คำนวณแล้วตกสัปดาห์ล่ะ 2.2 ล้านปอนด์ สำหรับนักเตะที่เป็นกัปตันทีม คล้ายอีกหนึ่งสัญลักษณ์ แม้จะไม่ได้เติบโตมาจากอะคาเดมี่ แต่ก็หลักไมล์ที่รับใช้สโมสรก็ยืนยาวเข้าสู่ปีที่ 16

สำคัญไม่น้อยไปกว่ากันคือ รามอส สามารถรักษามาตรฐานได้อย่างดีเยี่ยม อีกทั้งนำความสำเร็จมากมายมาให้

15 ปีของเขาคว้าแชมป์ลาลีกา 5 ครั้ง ยูฟ่า แชมเปี้ยนส์ ลีกอีก 4 ครั้ง รวมทั้งติดทีมยอดเยี่ยมยูฟ่าถึง 9 ครั้งด้วยกัน

แต่ด้วยสถานการณ์ปัจจุบัน ไวรัสที่ระบาดหนักจนหลายสโมสรอ่วมไปตามๆกัน นี่จึงไม่ใช่ช่วงเวลาจะต้องมาเปย์ก้อนใหญ่แลกกับนักเตะวัย 35 ปีเลย

เต็มที่คือตัวเลขเท่าเดิม เคสแบบนี้ควรเห็นใจสโมสรที่มีความเสี่ยงจะหนี้พอกได้แบบบาร์เซโล่าเผชิญอยู่ ไม่ใช่เห็นแก่ได้ฝ่ายเดียว

ในเมื่อต่างฝ่ายต่างมีจุดยืนอันมั่นคงและเหตุผลของตัวเอง บทสรุปง่ายๆคือแยกย้ายตัวใครตัวมัน

หากไม่มีเหตุคลาดเคลื่อน รามอส น่าจะเก็บเสื่อหมอนอำลามาดริด แต่ป้ายหน้าจะเป็นที่ไหนนั้น มันน่าติดตามไม่น้อย

ฉะนั้นการได้เล่นในลีกใหญ่ของยุโรป ที่เปลี่ยนบรรยากาศไปจากลาลีกา มันย่อมน่าลิ้มลองบรรยากาศมากๆ

และหากเราต่างเชื่อกันว่าพรีเมียร์ลีกคือลีกดีสุดในโลก รามอส เองก็คงมีความคิดในทำนองนั้นด้วย

เรเน่ รามอส พี่ชายซึ่งทำหน้าที่เอเจนต์ อยากจะมีส่วนในการโน้มน้าวน้าวน้องให้มาโชว์ฝีเท้าในลีกผู้ดีบ้าง ดังนั้นเลยถูกนำไปโยงกับแมนฯยูไนเต็ดอย่างที่รับรู้กัน

เป็นช่วงที่ โอเล่ กุนนาร์ โซลชา กำลังมองหาเซ็นเตอร์แบ็กชั้นเซียนมายืนคู่กับ แฮร์รี่ แม็กไกวร์ แม้วัยจะไม่ตรงสเป็กนัก แต่ในส่วนอื่นถือว่าเหมาะสมทั้งสิ้น

แมนฯยูไนเต็ดขบวนนี้ต้องการผู้นำในสนามที่กร้าวแกร่ง พร้อมชนแหลกกับฝั่งตรงข้ามและร้องถามผู้ตัดสินเพื่อปกป้องผลประโยชน์ให้ทีม รามอส จึงตอบโจทย์อย่างไม่ต้องสงสัย

นอกจากนี้แหล่งข่าววงในยังอ้างด้วยว่า โซลชา ไม่ได้สนใจ ดาโยต์ อูปาเมกาโน่ เท่าไรนัก ปล่อยให้ลิเวอร์พูล , เชลซีและบาเยิร์น มิวนิคเปิดศึกแย่งกัน ความเป็นไปได้ในเคสดึง รามอส จึงเพิ่มน้ำหนักมากกว่าเดิม

ในปี 2015 รามอส เคยตกเป็นข่าวกับแมนฯยูไนเต็ดอย่างหนักหน่วง หลุยส์ ฟานกัล กุนซือเวลานั้นเปิดแขนรอต้อนรับแล้ว แต่สุดท้ายกลับขยายสัญญามาดริดต่อ ท่ามกลางเสียงนินทาว่าแท้จริงใช้เป็นเครื่องมือเพื่อต่อรองต่างหาก

ผ่านไป 6 ปี รามอส กลับมาเกี่ยวพันกับปีศาจแดงอีกครั้ง ต่างกรรมต่างวาระกันไป

แมนฯยูไนเต็ดจะตกเป็นเครื่องมืออีกหรือไม่ อีกไม่นานเราคงได้คำตอบกัน

เกาะติดวงการลูกหนังไทยและต่างประเทศ

Line @kickoff69 ได้ที่นี่

ประกาศผลสอบ ! ซาลาห์ซัดสอง – บรูโน่ ซูเปอร์ซับ ผีแดงเขี่ยหงส์ร่วง เอฟเอ คัพ

คะแนนนักเตะ แมนฯ ยูไนเต็ด

ดีน เฮนเดอร์สัน – 6/10
แม้จะเสียถึง 2 ประตูในเกมวันนี้ แต่ก็มีจังหวะเซฟสวย ๆ ช่วยทีมเอาไว้ได้หลายครั้ง

อารอน วาน บิสซาก้า – 7/10
สามารถรับมือกับเกมรุกของทีมเยือนได้ดีโดยเฉพาะครึ่งหลัง แถมมีจังหวะเติมเกมขึ้นสูงสวย ๆ หลายครั้ง

แฮร์รี แม็คไกวร์ – 6/10
แม้จะไม่มีข้อผิดพลาดที่เห็นได้ชัดเจน มีบางช่วงที่ถูกแนวรุกของทีมเยือนบุกกดดันอย่างหนัก แต่ยังสามารถแก้ไขจังหวะเฉพาะหน้าเอาไว้ได้ดี

วิคตอร์ ลินเดอเลิฟ – 6/10
เห็นได้ชัดว่ามีปัญหาชัดเจนในการรับบมือกับความคล่องตัวของแนวรุกทีมเยือน แถมวันนี้ดูจะยืนตำแหน่งได้ไม่ค่อนดีนักจนเกือบทำให้ทีมเสีบประตูหลายครั้ง

ลุค ชอว์ – 6/10
งานค่อนข้างหนักในเกมรับ โดยเฉพาะการต้องรับมือกับความเร็วของ ซาลาห์ แต่ก็พอจะมีจังหวะตัดบอลสวย ๆ ให้เห็นอยู่บ้าง

สกอตต์ แม็คโทมิเนย์ – 6/10
วันนี้ดูจะเล่นได้ต่ำกว่ามาตรฐานเล็กน้อยในเกมรับ ครองบอลไว้กับตัวนานเกินไปจนเสียโอกาสที่ทีมจะได้โต้กลับ

พอล ป็อกบา – 7/10
วันนี้บทบาทค่อนข้างโดดเด่นในช่วงครึ่งแรก มีจังหวะได้ขึ้นมาลุ้นประตูหลายครั้ง แถมยังมีจังหวะตัดบอลในเกมรับสวย ๆ ช่วยทีมได้ค่อนข้างเยอะในเกมนี้

ดอนนี ฟาน เดอ เบ็ค – 5/10
บทบาทในเกมถือว่าน้อยมากในตำแหน่งตัวปั้นเกมแทนที่ บรูโน จนกระทั่งถูกเปลี่ยนตัวออกไปในช่วงครึ่งชั่วโมงสุดท้าย

เมสัน กรีนวูด – 7/10
แม้ฟอร์มจะยังไม่เข้าทีนัก แต่ก็มีส่วนร่วมกับทั้ง 2 ประตูของทีมที่ทั้งยิงทั้งจ่ายช่วยให้ทีมคว้าชัยมาครองได้

มาร์คัส แรชฟอร์ด – 8/10
ยังดูเล่นค่อนข้างหวงบอลเช่นเคย แต่เกมรุกริมเส้นจัดว่าหวือหวาพอสมควร ทำได้ 1 ประตูกับอีก 1 แอสซิสต์ในเกมวันนี้

เอดิสัน คาวานี – 6/10
แม้จะได้บอลค่อนข้างน้อย แถมมีจังหวะเสียบอลกลางสนามจนทำให้ทีมเสียประตู แต่ก็จัดว่ามีประโยชน์กับทีมพอสมควร มีโอกาสโหม่งชนเสา แถมเรียกฟรีคิกในจังหวะประตูชัยให้ทีมได้ในช่วงท้ายเกม

ตัวสำรอง
เฟร็ด (ลงสนามนาทีที่ 66 แทนที่ กรีนวูด) – 6/10
ลงมาช่วยไล่บอลกลางสนามได้ค่อนข้างดี

บรูโน เฟอร์นันเดส (ลงสนามนาทีที่ 66 แทนที่ ฟาน เดอ เบ็ค) – 7/10
ลงมาสร้างความแตกต่างได้อย่างชัดเจน สร้างสรรค์จังหวะให้ทีมได้อย่างยอดเยี่ยม แถมยังยิงฟรีคิกเป็นประตูชัยให้ทีมได้อีกด้วย

อ็องโตนี มาร์กซิยาล (ลงสนามนาทีที่ 86 แทนที่ แรชฟอร์ด) – N/A

คะแนนนักเตะ ลิเวอร์พูล
อลิสซอน เบ็คเกอร์ – 6/10
ไม่สามารถโทษเจ้าตัวได้กับทั้ง 3 ประตูที่เสียไปในเกมนี้

เทรนท์ อเล็กซานเดอร์-อาร์โนลด์ – 6/10
หวังผลไม่ได้อย่างที่ต้องการกับจังหวะครอสบอลท่ีริมเส้น มีปัญหาในการรับมือกับ แรชฟอร์ด

รีส วิลเลียมส์ – 4/10
มีความผิดพลาดให้เห็นหลายต่อหลายครั้งโดยเฉพาะจังหวะอันนำไปสู่การเสียประตูที่ 2 ของทีมให้ แรชฟอร์ด

ฟาบินโญ – 6/10
ไม่ได้มีช็อตน่าเป็นห่วงให้เห็นนักนอกจากการกลับประจำการในพื้นที่รับผิดชอบไม่ทันอันเป็นที่มาของการเสียประตูตีเสมอ 1-1

แอนดี้ โรเบิร์ตสัน – 6/10
เช่นเดียวกับ ฟาบินโญ ที่มีส่วนร่วมกับการเสียประตูแรก งานชุกในการรับมือกับ เมสัน กรีนวูด

เจมส์ มิลเนอร์ – 7/10
ไม่ได้กระตือรือล้นมากเพียงพอในการวิ่งไล่ กรีนวูด ในจังหวะสวนกลับเร็วของเข้าถิ่น เป็นช็อตน่าผิดหวังของเจ้าตัวเพียงครั้งเดียวในเกมนี้ก่อนที่จะมีบทบาทในการบีบพื้นที่แข้ง ปีศาจแดง อย่างต่อเนื่องและมีส่วนกับการได้ประตูตีเสมอ 2-2 ของ หงส์แดง

จินี ไวนัลดุม – 6/10
วูบวาบกับการเคลื่อนที่ในแดนกลาง

ติอาโก้ อัลคันทารา – 6/10
มีปัญหาในการตามความรวดเร็วของแข้ง ปีศาจแดง จนต้องงัดฟาวล์ตัดเกมหลายครั้ง

โมฮาเหม็ด ซาลาห์ – 8/10
ค่อยๆ มีบทบาทกับเกมมากขึ้นเรื่อยๆ เมื่อเวลาผ่านไป น่าเสียดายที่ไม่อาจทำแฮตทริคได้ในเกมนี้

โรแบร์โต้ ฟิร์มิโน – 7/10
ทำได้ดีกับการบีบพื้นที่แนวรับของเจ้าถิ่น ได้แอสซิสต์ให้กับ ซาลาห์ ในประตูเบิกร่องและประตูที่ 2

เคอร์ติส โจนส์ – 6/10
ใช้เวลาอยู่พักใหญ่กว่าที่จะจับจังหวะของเกมได้ มีส่วนร่วมในการตัดเข้าในเพื่อเปิดเกมรุกจากพื้นที่ตรงกลาง

ตัวสำรอง
ซาดิโอ มาเน (ลงสนามแทนที่ ไวนัลดุม นาทีที่ 65) – 6/10
ได้รับใบเหลืองจากจังหวะทำฟาวล์ใส่ เฟร็ด โดยรวมเร่งจังหวะของเกมรุกให้ หงส์แดง

ดิว็อค โอริกี (ลงสนามแทนที่ ฟิร์มิโน นาทีที่ 81) – N/A

เซอร์ดาน ชากิรี (ลงสนามแทนที่ ติอาโก้ นาทีที่ 81) -N/A

เกาะติดวงการลูกหนังไทยและต่างประเทศ

Line @kickoff69 ได้ที่นี่