ช่วงเวลาฮันนีมูนของ ทูเคิ่ล ! อาจไม่ได้ยาวนานอย่างที่คาดหวังกันไว้ก็ได้

ไล่ดู 5 เกมที่เชลซีเดินหน้าคว้าชัยชนะได้ล่าสุด ต้องยอมรับว่ามีหนักนัดเดียวแค่การบุกไปเฆี่ยนท็อตแน่ม ฮ็อทสเปอร์ 1-0

ที่เหลือล้วนเจอคู่แข่งที่ห่างชั้นกว่า ไม่ว่าชนะเบิร์นลี่ย์ , เชฟฟิลด์ ยูไนเต็ดหรือนิวคาสเซิ่ล รวมถึงเกมเอฟเอคัพกับบาร์นสลี่ย์ด้วย

อีกทั้งเกมประเดิมเสมอวูล์ฟส์ก็น่าจะเป็นฝ่ายชนะมากกว่า ทั้งเรื่องศักยภาพผู้เล่นและได้เปรียบเล่นในบ้าน

ขณะเดียวกันสเปอร์สก็อยู่ในช่วงขาลง เกมดังกล่าวไม่มี แฮร์รี่ เคน กองหน้าตัวหลักที่บาดเจ็บอีกด้วย

พูดให้ง่ายเข้าไว้ก็คงประมาณว่า ทูเคิ่ล ยังไม่เจอกับแบบทดสอบของจริง ที่ผ่านมาเหมือนออร์เดิร์ฟเรียกน้ำย่อยมากกว่า

สิ่งที่ต้องตามดูกันก็คือเขาจะทำให้ทีมสปิริตและบรรยากาศในห้องแต่งตัวดีกว่าที่เคยหรือไม่ ตอนนี้หลายอย่างอาจดูดีไม่มีอะไรน่าวิตก แต่แรงกระเพื่อมต่างๆจะตามมาอย่างแน่นอน

นักเตะหลายคนที่ต้องตกเป็นสำรอง ย่อมไม่พอใจกับสถานะของตัวเอง ไม่ว่าจะเป็น เบน ชิเวลล์ , ฮาคิม ซีเย็ค , รีซ เจมส์ หรือ เคิร์ต ซูม่า แล้วคงมีปฏิกิริยาตอบโต้บางอย่าง

อีกทั้งปูมหลังของ ทูเคิ่ล สมัยกุมบังเหียนปารีส แซงต์ แชร์กแมงก็เจอวิจารณ์ว่าคุมพวกแข้งซูเปอร์สตาร์ให้อยู่ในแถวไม่ได้ สุดท้ายบอร์ดก็ต้องไปดึง เลโอนาร์โด้ มาช่วยจัดการ

ว่ากันว่าจากนี้ ทูเคิ่ล จะเจอแบบทดสอบของจริง เชลซีจะไปเยือนเซาธ์แฮมป์ตันเกมลีก ตามด้วยบุกแอตเลติโก้ มาดริดศึกยูฟ่า แชมเปี้ยนส์ ลีก หลังจากนั้นกลับมาเล่นในรัง 2 เกมลีกรับแมนฯยูไนเต็ดและเอฟเวอร์ตัน ถัดมาบุกถิ่นลีดส์ ยูไนเต็ด ก่อนจะกลับมาโม่ตราหมีในเลกสอง

บางทีช่วงเวลาฮันนีมูนของ ทูเคิ่ล อาจไม่ได้ยาวนานอย่างที่คาดหวังกันไว้ก็ได้

เกาะติดวงการลูกหนังไทยและต่างประเทศ

Line @kickoff69 ได้ที่นี่

เอแดน อาซาร์ กับทางเดิน ที่เลือกไว้แล้ว

ไม่ผิดนักหากจะพูดว่า อาซาร์ คือตัวแทน คริสเตียโน่ โรนัลโด้ ซูเปอร์ฮีโร่คนเดิม ที่เผ่นไปยูเวนตุสแบบปุบปับตั้งแต่ปี 2018

ฟลอเรนติโน่ เปเรซ ประธานสโมสรมั่นใจในตัวปีกเบลเจี้ยนมากๆ ไม่ใช่แค่ฟอร์มจะเปรี้ยงปร้างเท่านั้น แต่ยังจะปั้นให้ขึ้นสู่ตำแหน่งดาวดวงใหม่ด้วย

อาซาร์ อาจมีลีลาคล้ายกับ โรนัลโด้ แต่ปัจจัยสำคัญอื่นๆผิดกันลิบลับ โดยเฉพาะเรื่องของวินัยและความเคร่งครัดในการดูแลตัวเอ

หลายครั้งที่เราได้เห็นเขาอยู่ในสภาพอ้วนฉุ ปล่อยน้ำหนักพุ่งพรวดเกินมาตรฐานนักเตะอาชีพ เหตุมาจากการกินแบบตามใจปาก

ไม่ใช่แค่อาหารเท่านั้นที่เลือกผิดหลักโภชนาการ แต่ยังนิยมดื่มอีกต่างหาก ต่อให้พรสวรรค์เหนือชั้นแค่ไหน ก็ยากที่จะไปได้สุดตามที่ตั้งเป้าเอาไว้

สมัยอยู่เชลซียังหนุ่มแน่น ร่างกายแข็งแรงไม่ค่อยบาดเจ็บให้มาต้องซ่อมแซมส่วนที่สึกหรอผุพังกันเท่าไรนัก

ล่าสุดสื่อสายมาดริดและแฟนบอลตั้งคำถามแล้ว ตกลงเกิดอะไรขึ้นกับ อาซาร์ กันแน่?

นับถึงตรงนี้ อาซาร์ สวมยูนิฟอร์มสีขาวของมาดริดครบ 18 เดือนแล้ว ลองไปเทียบตัวเลขต่างกับ เบล ในช่วงเวลาเดียวกันดู เผื่อจะฉายภาพต่างๆได้ชัดเจนมากยิ่งขึ้น

อาซาร์ ลงเล่นไปแล้ว 31 นัดทุกรายการ ทำไปได้เพียง 3 ประตูกับอีก 7 แอสซิสต์ จากจำนวน 1,964 นาที โดยที่คว้าแชมป์สแปนิช ซูเปอร์คัพกับลาลีกามาครอง ซึ่งไม่ได้มีส่วนร่วมเท่าไรเลย

ส่วน 18 เดือนของ เบล ลงสนามแบบเต็มเม็ดเต็มหน่วย พัฒนาฝีเท้าและพิสูจน์จนเป็นตัวหลัก โม่แข้งทั้งสิ้น 69 เกม ซัดไปถึง 34 ประตู 24 แอสซิสต์ใน 5,453 นาที

เขาครองแชมป์สแปนิช ซูเปอร์คัพ ยิงประตูสำคัญให้มาดริดผงาดยูฟ่า แชมเปี้ยนส์ ลีก อีกทั้งได้ยูโรเปี้ยน ซูเปอร์คัพอีกด้วย

ความจริงแล้วในช่วงปีครึ่ง อาซาร์ ควรจะรับใช้มาดริด 75 เกม ไม่ใช่เพิ่งลงเพียงแค่ 31 แถมถูกเปลี่ยนตัวออกหรือเป็นสำรองหลายนัดมาก

มาร์ซิน บุลก้า ผู้รักษาประตูชาวโปแลนด์ ซึ่งเคยเล่นในระดับเยาวชนให้เชลซีและเคยเห็นพฤติกรรมต่างของ อาซาร์ เล่าให้ฟังเป็นฉากๆเลยว่า

“เขาชอบจั๊งก์ฟู้ดอย่างแฮมเบอร์เกอร์หรือว่าพิซซ่ามากๆ นั่นคือความสุขของเขาเลยล่ะ เขาไม่แคร์อะไรนอกจากอาหารและฟุตบอล”

เรื่องนี้หากไปถาม อาซาร์ ไม่เคยเถียงเลย รวมทั้งยักไหล่ไม่ใส่ใจอีกต่างหาก เมื่อกลับมารายงานตัวแล้วน้ำหนักทะยานอย่างไม่สมควร

“ใช่มันเป็นเรื่องจริง แต่สำหรับผมแล้ว วันหยุดก็คือวันหยุด”

เราพอจะพูดได้เกี่ยวกับวิถีความเป็นมืออาชีพของ อาซาร์ ไม่มากพอสำหรับการไปสู่จุดพีกเหมือนอย่างนักเตะบางคน

แต่หากเคยให้สัมภาษณ์ไว้ในทำนองนี้ ย่อมหมายความว่าเขาต้องเลือกทางเดินไว้แล้ว นี่คงเป็นสิ่งที่ต้องการ

อาซาร์ เองรู้ดีว่าถ้าเคร่งครัดแบบ โรนัลโด้ ซ้อมอย่างหนัก ดูแลร่างกายตัวเองอย่างดีทุกวินาที โอกาสจะเป็นซูเปอร์สตาร์เบอร์ต้นๆของโลกย่อมมีสูง

บางทีนั่นอาจไม่ใช่เป้าหมายหรือสิ่งที่เขาต้องการมากสุดก็ได้

เกาะติดวงการลูกหนังไทยและต่างประเทศ

Line @kickoff69 ได้ที่นี่

ใช้ ผี เป็นเครื่องมือ ! เซร์คิโอ รามอส กลับมาเกี่ยวพันกับปีศาจแดงอีกครั้ง

สื่อต่างๆ นัดกันโหมกระแส เซร์คิโอ รามอส เซ็นล่วงหน้ากับแมนฯยูไนเต็ด โดยจะย้ายมาในซัมเมอร์ที่จะถึงนี้

พร้อมระบุว่าจะได้รับค่าจ้างราว 200,000 ปอนด์ต่อสัปดาห์ ซึ่งเป็นเรตที่ไม่ได้สูงอะไรนัก

ตามสถานการณ์ที่เราต่างรับรู้กันนั่นแหล่ะ สัญญา รามอส ที่มีอยู่กับเรอัล มาดริดจะครบเทอมในมิถุนายน 2021 หรืออีกแค่ 5 เดือนเท่านั้นและการเจรจาเพื่อขยายออกไปไม่เป็นเป็นผล

เหตุผลที่สะดุดมาจาก 2 ข้อใหญ่ๆ หนึ่งคือระยะเวลาสัญญามาดริดไม่ให้เกิน 1 ปีหรอก นักเตะอายุมากแล้ว มีนาคมนี้จะครบ 35 วัดตามมาตรฐานใกล้แขวนสตั๊ดเต็มที

อาจอนุโลมในแง่ที่ รามอส รับใช้ทีมมาตั้งแต่ปี 2005 ย้ายจากเซบีย่ามาแล้วเป็นตัวหลักในแนวรับมาตลอด แทบไม่เคยประสบปัญหาอาการบาดเจ็บหนักๆเลย จึงมีอ็อปชั่นแนบไว้อีก 1 ปี

แน่นอนว่าเป้าหมายของ รามอส ไม่ใช่แบบนี้ เขาไม่จำเป็นต้องทวงบุญคุณอะไร แต่เรียกร้องตามความต้องการนั่นคือต้องได้ 2 ปี

อย่างน้อยที่สุดมันต้องมองเห็นคุณค่าของซื่อสัตย์ภักดีกันบ้าง ไม่ใช่คำนึงถึงผลประโยชน์ของสโมสรฝ่ายเดียวเท่านั้น

แม้จะไม่มีการเปิดเผยตัวเลขจริงๆ แต่จากสื่อและแหล่งข้อมูลส่วนใหญ่เชื่อว่าได้จากมาดริดไม่เกิน 11 ล้านปอนด์ต่อปี

คำนวณแล้วตกสัปดาห์ล่ะ 2.2 ล้านปอนด์ สำหรับนักเตะที่เป็นกัปตันทีม คล้ายอีกหนึ่งสัญลักษณ์ แม้จะไม่ได้เติบโตมาจากอะคาเดมี่ แต่ก็หลักไมล์ที่รับใช้สโมสรก็ยืนยาวเข้าสู่ปีที่ 16

สำคัญไม่น้อยไปกว่ากันคือ รามอส สามารถรักษามาตรฐานได้อย่างดีเยี่ยม อีกทั้งนำความสำเร็จมากมายมาให้

15 ปีของเขาคว้าแชมป์ลาลีกา 5 ครั้ง ยูฟ่า แชมเปี้ยนส์ ลีกอีก 4 ครั้ง รวมทั้งติดทีมยอดเยี่ยมยูฟ่าถึง 9 ครั้งด้วยกัน

แต่ด้วยสถานการณ์ปัจจุบัน ไวรัสที่ระบาดหนักจนหลายสโมสรอ่วมไปตามๆกัน นี่จึงไม่ใช่ช่วงเวลาจะต้องมาเปย์ก้อนใหญ่แลกกับนักเตะวัย 35 ปีเลย

เต็มที่คือตัวเลขเท่าเดิม เคสแบบนี้ควรเห็นใจสโมสรที่มีความเสี่ยงจะหนี้พอกได้แบบบาร์เซโล่าเผชิญอยู่ ไม่ใช่เห็นแก่ได้ฝ่ายเดียว

ในเมื่อต่างฝ่ายต่างมีจุดยืนอันมั่นคงและเหตุผลของตัวเอง บทสรุปง่ายๆคือแยกย้ายตัวใครตัวมัน

หากไม่มีเหตุคลาดเคลื่อน รามอส น่าจะเก็บเสื่อหมอนอำลามาดริด แต่ป้ายหน้าจะเป็นที่ไหนนั้น มันน่าติดตามไม่น้อย

ฉะนั้นการได้เล่นในลีกใหญ่ของยุโรป ที่เปลี่ยนบรรยากาศไปจากลาลีกา มันย่อมน่าลิ้มลองบรรยากาศมากๆ

และหากเราต่างเชื่อกันว่าพรีเมียร์ลีกคือลีกดีสุดในโลก รามอส เองก็คงมีความคิดในทำนองนั้นด้วย

เรเน่ รามอส พี่ชายซึ่งทำหน้าที่เอเจนต์ อยากจะมีส่วนในการโน้มน้าวน้าวน้องให้มาโชว์ฝีเท้าในลีกผู้ดีบ้าง ดังนั้นเลยถูกนำไปโยงกับแมนฯยูไนเต็ดอย่างที่รับรู้กัน

เป็นช่วงที่ โอเล่ กุนนาร์ โซลชา กำลังมองหาเซ็นเตอร์แบ็กชั้นเซียนมายืนคู่กับ แฮร์รี่ แม็กไกวร์ แม้วัยจะไม่ตรงสเป็กนัก แต่ในส่วนอื่นถือว่าเหมาะสมทั้งสิ้น

แมนฯยูไนเต็ดขบวนนี้ต้องการผู้นำในสนามที่กร้าวแกร่ง พร้อมชนแหลกกับฝั่งตรงข้ามและร้องถามผู้ตัดสินเพื่อปกป้องผลประโยชน์ให้ทีม รามอส จึงตอบโจทย์อย่างไม่ต้องสงสัย

นอกจากนี้แหล่งข่าววงในยังอ้างด้วยว่า โซลชา ไม่ได้สนใจ ดาโยต์ อูปาเมกาโน่ เท่าไรนัก ปล่อยให้ลิเวอร์พูล , เชลซีและบาเยิร์น มิวนิคเปิดศึกแย่งกัน ความเป็นไปได้ในเคสดึง รามอส จึงเพิ่มน้ำหนักมากกว่าเดิม

ในปี 2015 รามอส เคยตกเป็นข่าวกับแมนฯยูไนเต็ดอย่างหนักหน่วง หลุยส์ ฟานกัล กุนซือเวลานั้นเปิดแขนรอต้อนรับแล้ว แต่สุดท้ายกลับขยายสัญญามาดริดต่อ ท่ามกลางเสียงนินทาว่าแท้จริงใช้เป็นเครื่องมือเพื่อต่อรองต่างหาก

ผ่านไป 6 ปี รามอส กลับมาเกี่ยวพันกับปีศาจแดงอีกครั้ง ต่างกรรมต่างวาระกันไป

แมนฯยูไนเต็ดจะตกเป็นเครื่องมืออีกหรือไม่ อีกไม่นานเราคงได้คำตอบกัน

เกาะติดวงการลูกหนังไทยและต่างประเทศ

Line @kickoff69 ได้ที่นี่

รีบเลย ! สิ่งที่ โธมัส ทูเคิ่ล ควรทำกับ เชลซี

ในวงการฟุตบอลมันไม่บ่อยครั้งนักที่กุนซือซึ่งเคยพาทีมคว้าแชมป์จะโดนไล่ออก แต่สำหรับ เชลซี สโมสรยักษ์ใหญ่แห่งศึกพรีเมียร์ลีก อังกฤษ ที่มี โรมัน อบราโมวิช มหาเศรษฐีชาวรัสเซียเป็นเจ้าของทีมนั้น มันเป็นเรื่องปกติที่ตำแหน่งผู้จัดการทีมจะเป็นเหมือนเก้าอี้ดนตรี

โค้ชชื่อดังอาทิ โชเซ่ มูรินโญ่, คาร์โล อันเชล็อตติ, อันโตนิโอ คอนเต้ รวมถึง เมาริซิโอ ซาร์รี่ ต่างโดย อบราโมวิช เชือดทิ้งมาแล้วทั้งสิ้น และ แฟร้งค์ แลมพาร์ด ก็เป็นเหยื่อยรายล่าสุดที่ตะเพิดเมื่อวันที่ 25 มกราคมที่ผ่านมาหลังจากทำผลงานได้อย่างย่ำแย่

ขณะเดียวกัน โธมัส ทูเคิ่ล ได้รับการแต่งตั้งให้เข้ามารับเผือกร้อนต่อจาก แลมพาร์ด ซึ่งก่อนหน้านี้ เทรนเนอร์ชาวเยอรมัน ทำผลงานได้เป็นอย่างดีกับอดีตทีมเก่าอย่าง โบรุสเซีย ดอร์ทมุนด์ และ ปารีส แซงต์-แชร์กแมง

อย่างไรก็ตาม ทูเคิ่ล ต้องเข้ามาแก้ปัญหาหลายๆอย่างในถิ่นสแตมฟอร์ด บริดจ์ แม้ เชลซี จะมีขุมกำลังนักเตะพร้อมแค่ไหนก็ตาม และนี่คือสิ่งที่ กุนซือวัย 47 ปี ควรทำอย่างเร่งด่วนหลังเข้ามาเป็นนายใหญ่ “สิงโตน้ำเงินคราม”

1. ทำให้ ติโม แวร์เนอร์ คืนฟอร์ม
ในช่วงหลัง แวร์เนอร์ ดูเหมือนจะหมดความมั่นใจไปแล้วหลังจากพลาดจุดโทษในศึกเอฟเอ คัพ ที่ เชลซี เปิดรังสแตมฟอร์ด บริดจ์ เอาชนะ ลูตัน ทาวน์ 3-1 เมื่อวันที่ 24 มกราคมที่ผ่านมา โดยหัวหอกทีมชาติเยอรมัน แสดงออกถึงความผิดหวังอย่างหนัก และหงุดหงิดกับฟอร์มการเล่นของตัวเองอย่างยิ่ง

ภายใต้การคุมทีมของ แลมพาร์ด นั้น แวร์เนอร์ ถูกปรับบทบาทไปเกือบตลอดทั้งในตำแหน่งตัวรุกฝั่งซ้าย และกองหน้าตัวเป้า ซึ่งทำให้เขาไม่สามารถโชว์ฟอร์มได้อย่างสม่ำเสมอ และนั่นเป็นสิ่งที่ ทูเคิ่ล ต้องแก้ปัญหาให้ได้

นอกจากนี้ การที่นักเตะในแนวรุก เชลซี พากันฟอร์มตกหลายคนก็ทำให้ แวร์เนอร์ ไม่สามารถแสดงฝีเท้าของเขาได้อย่างเต็มที่ และ ทูเคิ่ล ต้องรีดศักยภาพของ ดาวยิงวัย 24 ปี กลับมาให้เร็วที่สุดเพื่อพา “สิงโตน้ำเงินคราม” กลับสู่เส้นทางที่ดีอีกครั้ง

2. หาตำแหน่งที่เหมาะสมให้กับ ไค ฮาแวร์ตซ์
ฮาแวร์ตซ์ กลายเป็นเหยื่ออีกรายที่ถูก แลมพาร์ด จับไปเล่นในตำแหน่งที่ไม่ถนัดทั้งที่ดาวเตะชาวเยอรมันเคยโชว์ฟอร์มได้อย่างสุดยอดกับ ไบเออร์ เลเวอร์คูเซ่น ต้นสังกัดเก่าในบทบาทมิดฟิลด์ตัวรุกหมายเลข 10 และกองกลางหมายเลข 8

ฮาแวร์ตซ์ ถูกคว้าตัวมายังถิ่นสแตมฟอร์ด บริดจ์ ด้วยค่าตัวเป็นสถิติสโมสร 72 ล้านปอนด์ และมันก็เป็นเรื่องที่หลีกเลี่ยงไม่ได้ที่เจ้าตัวจะเจอความกดดันถาโถมใส่อย่างหนักถึงแม้ว่าเขาจะเพิ่งมีอายุเพียง 21 ปี ก็ตาม

อดีตเด็กปั้น เลเวอร์คูเซ่น เป็นมิดฟิลด์ที่มีร่างกายแข็งแกร่ง และพาบอลทะลุทะลวงเข้าไปเล่นในกรอบเขตโทษคู่แข่งได้เป็นอย่างยอดเยี่ยม ซึ่ง ทูเคิ่ล ก็รู้ถึงจุดเด่นของ ฮาแวร์ตซ์ เป็นอย่างดีหลังเคยเห็นฝีเท้าในเยอรมันมาแล้ว

ในเวลานี้อยู่ที่ว่า ทูเคิ่ล จะหาตำแหน่ง และแท็คติคที่เหมาะสมให้กับ ฮาแวร์ตซ์ ได้เร็วแค่ไหน ซึ่งหากหาจุดที่ลงตัวได้มันก็เป็นผลดีกับ เชลซี ในระยะยาวด้วยเช่นเดียวกัน

3. หาแผงมิดฟิลด์ตัวจริง
จอร์จินโญ่, เอ็นโกโล่ ก็องเต้, มัตเตโอ โควาซิช, เมสัน เมาท์, ฮาแวร์ตซ์ และ บิลลี่ กิลมัวร์ คือรายชื่อผู้เล่นกองกลางทั้งหมดของ เชลซี ชุดนี้ แต่ในช่วงที่ผ่านมา แลมพาร์ด ยังหาแผงมิดฟิลด์ที่เป็นตัวหลักไม่ได้เลย

ในช่วงแรกที่ ทูเคิ่ล ไปคุม เปแอสเช ก็เจอปัญหาแบบนี้เช่นกัน เขามีเพียง มาร์โก แวร์รัตติ มิดฟิลด์ทีมชาติอิตาลี เป็นตัวหลักในแดนกลาง และใช้ อังเคล ดิ มาเรีย กับ ยูเลี่ยน ดรักซ์เลอร์ เป็นตัวขับเคลื่อนเกมก่อนที่เขาจะคว้าตัว อิดริสซ่า เกย์ กับ อันเดร์ เอร์เรร่า เข้ามาเสริมความมั่นคงมากขึ้น

สำหรับแผงกองกลางของ เชลซี นั้น ทูเคิ่ล ต้องตัดสินใจว่า ใครจะเล่นในบทบาทหมายเลข 6, 8 และ 10 ในการยืนระยะทำศึกช่วงครึ่งฤดูกาลหลัง

4. เลือกกองหน้าเบอร์ 1
ภายใต้การคุมทีมของ แลมพาร์ด โอลิวิเย่ร์ ชิรูด์, แทมมี่ อับราฮัม และ แวร์เนอร์ ต่างก็ต้องแข่งขันกันเพื่อตำแหน่งตัวจริงในแดนหน้า นอกจากนี้ เชลซี ยังตกเป็นข่าวว่า อยากได้ เออร์ลิง ฮาแลนด์ หัวหอกตัวเก่ง ดอร์ทมุนด์ มาล่าตาข่ายอีกด้วย

ขณะเดียวกัน ดูเหมือนว่า จะไม่มีใครก้าวขึ้นมาเล่นในตำแหน่งศูนย์หน้าหมายเลข 9 ได้ดีเลยนับตั้งแต่ ดิเอโก้ คอสต้า ดาวยิงชาวสเปนอำลาสโมสรไป และ ทูเคิ่ล ต้องตัดสินใจเลือกกองหน้าตัวหลักให้กับ เชลซี ได้แล้ว

ชิรูด์ เก่งในลูกกลางอากาศแต่อายุ 34 ปีแล้ว อับราฮัม มีสภาพร่างกายแข็งแกร่งแต่ยังต้องรอประสบการณ์มากกว่านี้ ส่วน แวร์เนอร์ โดดเด่นในบทบาท False9 แต่ฟอร์มตก ทั้งหมดนี้เป็นปัญหาที่ ทูเคิ่ล ต้องเผชิญก่อนที่จะสร้างแท็คติคการเข้าทำรอบๆกองหน้าตัวหลักที่เขาไว้ใจจนกว่าจะมีทางเลือกอื่นในซัมเมอร์

5. ให้โอกาสเยาวชนต่อไป
ถึง แลมพาร์ด จะอำลาทีมไปแล้ว แต่เขาก็ทิ้งมรกดชิ้นงามไว้ให้กับ เชลซี มากมาย โดยนักเตะดาวรุ่งอย่าง อับราฮัม, เมาท์, รีส เจมส์ และ คัลลัม ฮัดสัน-โอดอย ต่างพากันแจ้งเกิดได้อย่างยอดเยี่ยม และ ทูเคิ่ล น่าจะเข้ามาสานต่อในการพัฒนาแข้งอนาคตไกลเหล่านี้ต่อไปได้

ทูเคิ่ล เคยทำงานร่วมกับดาวรุ่งมากพรสวรรค์มากมายสมัยที่คุม ดอร์ทมุนด์ รวมทั้งสุดยอดกองหน้าอายุน้อยอย่าง คีเลียน เอ็มบัปเป้ ที่ เปแอสเช ดังนั้น เชลซี ก็จะได้เทรนเนอร์ที่สามารถเข้ามาต่อยอดความสำเร็จในสถาบันเยาวชนของพวกเขาได้

แม้บรรดาดาวรุ่ง เชลซี ที่กล่าวมาทั้งหมดอาจไม่ได้เป็นตัวเลือกในระยะยาวที่สแตมฟอร์ด บริดจ์ เนื่องจากนโยบายทุ่มเงินของ โรมัน อบราโมวิช แต่พวกเขาก็ถือเป็นกำลังเสริมชั้นดีที่ทำให้ “สิงโตน้ำเงินคราม” มีนักเตะหมุนเวียนทำศึกหลายๆรายการในอนาคต

6. ให้อดีตลูกน้องเก่าอย่าง ติอาโก้ ซิลวา และ คริสเตียน พูลิซิส ช่วยงาน
ทูเคิ่ล ทำงานได้อย่างยอดเยี่ยมกับ พูลิซิช ที่ ดอร์ทมุนด์ และ ซิลวา ที่ เปแอสเช และยิ่งไปกว่านั้น เขาเคยขอให้บอร์ดบริหาร เปแอสเช ซื้อตัวนักเตะ เชลซี อย่าง จอร์จินโญ่ และ อันโตนิโอ รูดิเกอร์ กองหลังชาวเยอรมัน มาแล้วแต่ไม่ประสบความสำเร็จ

รายงานข่าวระบุว่า พูลิซิส มีความสุขมากที่ ทูเคิ่ล มาคุม เชลซี เพราะทั้งคู่รู้มือกันดีอยู่แล้ว ขณะที่ ซิลวา ก็กลายเป็นผู้นำในห้องแต่งตัวของ “สิงโตน้ำเงินคราม” อย่างเต็มตัว ซึ่งอิทธิพลของกองหลังแซมบ้ามีต่อเพื่อนร่วมทีมอยู่มากทีเดียว

พูลิซิส และ ซิลวา คุ้นเคยกับแท็คติคของ ทูเคิ่ล เป็นอย่างดี และทั้งคู่จะเป็นกระบอกเสียงสำคัญที่ทำให้ ทูเคิ่ล ทำงานในถิ่นสแตมฟอร์ด บริดจ์ ได้อย่างราบรื่น

 

เกาะติดวงการลูกหนังไทยและต่างประเทศ

Line @kickoff69 ได้ที่นี่

แผนนี้แจ่มมั้ย ! เผยโฉม สิงห์บลู ยุคใหม่หาก ทูเคิ่ล ได้ 3 สตาร์เสริมทัพ

สื่อต่างประเทศหลายสำนักต่างรายงานตรงกันว่า โธมัส ทูเคิ่ล เตรียมได้รับการแต่งตั้งให้มาสานงานต่อจาก แฟร้งค์ แลมพาร์ด หลังจากกุนซือชาวเยอรมันกำลังว่างงานนับตั้งแต่ถูก ปารีส แซงต์ แชร์กแมง ปลดออกจากตำแหน่งเมื่อเดือนที่แล้ว

ทั้งนี้คาดว่าสาเหตุที่ เชลซี เลือก ทูเคิ่ล เข้ามากุมบังเหียนนั้นจะสามารถเข้ามาเรียกฟอร์มการเล่นของคู่หูทีมชาติเยอรมันอย่าง ติโม แวร์เนอร์ และ ไค ฮาแวร์ทซ์ ที่ไม่สามารถเรียกฟอร์มเก่งออกมากได้นับตั้งแต่ย้ายมาจากลีกเมืองเบียร์ด้วยค่าตัวมหาศาลเมื่อช่วงซัมเมอร์ที่ผ่านมา

ล่าสุด เดอะ ซัน ได้จัดทำไลน์อัพ เชลซี ในยุคของ ทูเคิ่ล ในอนาคต หากได้ใช้งบเสริมทัพซื้อสตาร์ดังเข้ามาเพิ่มทั้ง ดาโยต์ อูปาเมกาโน่ ปราการหลังจาก แอร์เบ ไลป์ซิก ที่ทำผลงานได้อย่างโดดเด่นและตกเป็นข่าวเชื่อมโยงกับยักษ์ใหญ่ทั่วยุโรป

ขณะที่รายต่อมาเป็น มาร์โก แวร์รัตติ มิดฟิลด์ตัวเก่งจาก ปารีส แซงต์ แชร์กแมง ที่มีข่าวเชื่อมโยงในการย้ายออกจากทีม และจะได้กลับมาร่วมงานกับ ทูเคิ่ล อีกครั้ง


ปิดท้ายที่ เออร์ลิง ฮาแลนด์ กองหน้าคนเก่ง โบรุสเซีย ดอร์ทมุนด์ ที่มีรายงานว่า เชลซี วางแผนการใหญ่ที่จะทุ่มเงินเป็นสถิติใหม่สโมสรเพื่อดึงตัวมาร่วมทีมให้ได้หลังจบฤดูกาลนี้

และนี่คาดว่าจะเป็นหน้าตา 11 ตัวจริงของ เชลซี ในยุค โธมัส ทูเคิ่ล หากได้แข้งเหล่านี้เข้ามาเสริมทัพ โดยมาในระบบ 4-3-3

เริ่มจากตำแหน่งผู้รักษาประตูยังคงเป็น เอดูอาร์ เมนดี้ ที่รับบทมือ 1 ต่อไป ส่วนแบ็กโฟร์ให้ รีซ เจมส์ ยืนแบ็กขวา ด้าน เบน ชิลเวลล์ เล่นทางซ้าย ส่วนคู่เซนเตอร์เป็น ติอาโก้ ซิลวา จับคู่กับ ดาโยต์ อูปาเมคาโน่

ขณะที่กองกลางมี เอ็นโกโล่ ก็องเต้ ยืนทำหน้าที่คู่กับ มาร์โก แวร์รัตติ โดยมี ไค ฮาแวร์ทซ์ คอยทำหน้าที่เป็นตัวบัญชาเกมรุกตามถนัด

ส่วน 3 ประสานแดนหน้าให้ คริสเตียน พูลิซิช ไปยืนริมเส้นด้านขวา ขณะที่ ติโม แวร์เนอร์ ประจำการฝั่งซ้าย โดยมี ฮาแลนด์ รับบทกองหน้าตัวเป้า

 

เกาะติดวงการลูกหนังไทยและต่างประเทศ

Line @kickoff69 ได้ที่นี่