ในช่วงเวลาที่ไม่เป็นใจ ! อย่าให้ตัวแพ้ใจ แล้วเดินไปข้างหน้าให้ได้

หลังพ่ายเลสเตอร์ ซิตี้ 1-3 ตัวเลขระบุไว้ว่า 12 เกมหลังสุดทุกรายการของลิเวอร์พูล ชนะแค่ 3 เกมและแพ้ถึง 6 ด้วยกัน

พูดกันตรงๆแบบไม่ต้องอ้อมค้อมนี่คือสัญญาณที่เลวร้ายมากๆ สำหรับเจ้าของแชมป์พรีเมียร์ลีกเมื่อฤดูกาลที่แล้ว ซึ่งโกยแต้มไปถึง 99 เรียกว่าผ่านครึ่งทางก็แทบจะสลักชื่อไว้บนฐานโทรฟี่ได้เลย

แต่มาซีซั่นนี้ทุกอย่างเปลี่ยนไปแบบปุบปับ อย่าว่าแต่เดอะ ค็อปทั้งหลายไม่ทันตั้งตัวและทำใจ แต่บรรดานักเตะหรือ เจอร์เก้น คล็อปป์ เองก็ไม่แตกต่างกัน

เข้าใจว่าปัญหามาจากอาการบาดเจ็บของผู้เล่นในแนวรับ เมื่อต้องขาดหายไปทั้ง เฟอร์กิล ฟานไดค์ และ โจ โกเมซ สองกระดูกสันหลัง อีกทั้งไม่ได้ซื้อใครมาแทน เดยัน ลอฟเรน ดราม่าเลยตามมาทันที

ดังนั้นจึงได้แค่คว้าแข้งโนเนมอย่าง เบน เดวิส และ ตัดสินใจยืม โอซาน คาบัค มาจากชาลเก้ 04 พร้อมอ็อปชั่นซื้อขาด

เดวิส ถือเป็นดีลเซอร์ไพรส์ได้มาจากเปรสตัน นอร์ธเอนด์ทีมจากเดอะ แชมเปี้ยนชิพ แทบไม่เคยมีใครรู้จักมักจี่หรือเห็นฟอร์มแบบชัดๆเลย

แต่การได้เซ็นเตอร์แบ็กอาชีพมาช่วย ก็ย่อมเป็นเรื่องดีกว่าใช้กองกลางมาเล่นแทนแก้ขัด

ส่วนเคสของ คาบัค น่าสนใจมาก เคยตกเป็นข่าวโยงกับลิเวอร์พูลอย่างหนักเมื่อซัมเมอร์ แต่โดนโก่งราคาโหดเกิน จนต้องถอยกลับมาตั้งหลักกันใหม่

แน่นอนว่า คาบัค ยังใหม่มากๆ การสื่อสารอาจกลายเป็นปัญหา ทว่ามันไม่ควรมาพลาดในช่วงเวลาแบบนี้

จากที่ช็อกอยู่แล้ว อาการผู้เล่นลิเวอร์พูลยิ่งหนักกว่าเดิม กระทั่งนำไปสู่การเสียประตูที่สาม ซึ่งกองหลังเติร์กมีส่วนรับผิดชอบด้วยเช่นเดียวกัน จากการเช็คไลน์ไม่ดี

ปัญหาของลิเวอร์พูลไม่ได้อยู่ที่เกมรับรั่วหนักเท่านั้น แต่ยังลามไปยังเรื่องสภาพจิตใจอีกด้วย

เหมือนอย่างที่ คล็อปป์ ให้สัมภาษณ์ไว้นั่นแหล่ะ ความผิดพลาดบุคคลนำไปสู่หายนะ พยายามปรับปรุงแล้ว แต่เมื่อนักเตะตอบสนองไม่ได้เองก็ต้องยอมรับ

ทุกอย่างถาโถมมาในช่วงเวลาเดียวกัน การที่ คล็อปป์ ยังยืนหยัดต่อสู้ได้ขนาดนี้ ต้องรับเลยว่าแกร่งมากพอแล้ว

แต่อาจไม่มากพอที่จะพาทีมกลับเข้าสู่เส้นทางของตัวเอง ซึ่งเดอะ ค็อปทั้งหลายต่างเข้าใจดีในสถานการณ์ที่เกิดขึ้น ไม่มีใครโทษบอสแน่นอน

นี่คือเวลาที่นักเตะลิเวอร์พูลต้องลืมฝันร้ายที่ผ่านมาให้ได้ทั้งหมด ลืมเรื่องป้องกันแชมป์ นึกแค่ว่าจากนี้ทุกนัดเล่นให้เหมือนนัดชิงบอลถ้วย

คล็อปป์ เคยนำนาวาฝ่าพายุห่าใหญ่มาได้แล้ว หากจะต้องกอดคอต่อสู่ด้วยกันอีกครั้ง มันคงไม่ใช่เรื่องน่ากลัวหรอก

 

เกาะติดวงการลูกหนังไทยและต่างประเทศ

Line @kickoff69 ได้ที่นี่

แจ้งเกิดเต็มตัว ! เอมิล สมิธ โรว์ ดาวดวงใหม่แห่งทัพ ปืนโต

หลังจากใช้เวลายืมตัว 6 เดือนกับ ฮัดเดอร์สฟิลด์ ทาวน์ ในศึกเดอะแชมเปี้ยนชิพ อังกฤษ เมื่อครึ่งท้ายฤดูกาลที่ผ่านมา ในปีนี้ เอมิล สมิธ โรว์ มิดฟิลด์อนาคตไกล อาร์เซน่อล กลับคืนสู่ทัพ “ไอ้ปืนใหญ่” อีกครั้งพร้อมกับแจ้งเกิดได้อย่างน่าประทับใจ

ในซีซั่นที่แล้ว สมิธ โรว์ มีโอกาสลงเล่นให้กับ ฮัดเดอร์สฟิลด์ ในลีกไปมากถึง 19 เกม และโชว์ฟอร์มได้อย่างยอดเยี่ยมด้วยการซัดไป 2 ประตู ก่อนที่เขาจะกลับสู่ อาร์เซน่อล เมื่อซัมเมอร์ที่ผ่านมา และได้รับโอกาสจาก มิเกล อาร์เตต้า กุนซือชาวสเปนให้มีส่วนร่วมกับทีมชุดแรกของ “ไอ้ปืนใหญ่” ในฤดูกาลนี้ไปแล้ว 5 เกม

แดนนี่ ซิมป์สัน อดีตแบ็คขวา ฮัดเดอร์สฟิลด์ ซึ่งเคยเล่นร่วมกับ สมิธ โรว์ เริ่มเล่าว่า “ตอนนั้นผมได้หยุดพัก 2-3 วัน เมื่อผมไปที่สนามซ้อม มีเด็กคนหนึ่งเข้ามาทักผมว่า ดีใจที่ได้พบคุณที่นี่ ผมคิดกับตัวเองว่า เด็กคนนี้เป็นใคร? ผมชอบเขามากนะ เขามีความมั่นใจทั้งที่เพิ่งย้ายมา 1 สัปดาห์เท่านั้น”

ความเป็นจริงแล้ว สมิธ โรว์ เป็นเด็กที่ขี้อาย และเป็นคนที่ค่อนข้างเก็บตัว แต่เมื่อได้ลงสนามกองกลางวัย 20 ปี กลับแสดงออกถึงการเล่นที่นิ่งเกินอายุเหมือนกับผู้เล่นที่อยู่กับทีมชุดใหญ่มานานแล้ว และสามารถเล่นร่วมกับผู้เล่นอาวุโสได้อย่างลงตัว

มาร์ค ฮัดสัน โค้ชทีมชุดแรก ฮัดเดอร์สฟิลด์ กล่าวต่อว่า “เขาสร้างผลกระทบให้กับเราได้อย่างมาก เขากล้าย้ายมาเล่นกับเราด้วยตัวเองกับสโมสรที่ต้องดิ้นรนหนีตกชั้น เขาเป็นเด็กที่น่าประทับใจมาก และนั่นพิสูจน์ให้เห็นได้ถึงตัวตนที่แท้จริงของเขา”

“คุณสามารถเห็นพรสวรรค์ของเขาได้ทันที เทคนิค ความสามารถในการเร่งสปีดเกม และการครองบอลของเขาก็ยอดเยี่ยม เขาเป็นเด็กที่กระตือรือร้น มีพลังงาน และความสามารถในการเพรสซิ่งก็ดีเช่นกัน เขาเคลื่อนที่ได้ฉลาดมากด้วย”

“เขาหาที่ว่างให้กับตัวเองได้อยู่เสมอ เขาอาจดูไม่เร็วนัก แต่ก็สามารถพาบอลไปได้ทุกพื้นที่ของสนามอย่างเป็นธรรมชาติ เขาเล่นฟุตบอลในจังหวะที่เหมาะสม มีวิสัยทัศน์ที่ดี และเข้าใจเกมเป็นอย่างดี คุณจะเห็นมันในการฝึกซ้อม”

ในฤดูกาลที่ผ่านมา แดนนี่ คาวลีย์ กุนซือ ฮัดเดอร์สฟิลด์ ต้องบริหารการฝึกซ้อม และเวลาลงสนามของ สมิธ โรว์ ให้เหมาะสมหลังย้ายมาด้วยสัญญายืมตัวจาก อาร์เซน่อล ก่อนจะค่อยๆพัฒนา ดาวเตะวัย 20 ปี กลายเป็นกำลังสำคัญของสโมสร

ฮัดสัน กล่าวต่อว่า “เห็นได้ชัดว่า เดอะแชมเปี้ยนชิพ เป็นลีกที่ต้องใช้ความแข็งแกร่งมาก เราแค่ทำให้เขาเล่นเร็วขึ้น และปกป้องเขาไปพร้อม ๆ กัน เราจะไม่เพียงแค่ใช้งานเขาเพียงอย่างเดียว และเราต้องการให้แน่ใจว่า เราใช้เขาในเวลาที่เหมาะสม”

“เขาอยากรู้เสมอว่า ทำไมเขาถึงไม่ได้ลงเล่น บางทีเขาจะมาเคาะประตูห้องโค้ช และหงุดหงิดมาก เขามีความคิดที่ถูกต้อง เขาจะเข้าหาผู้จัดการทีมทันที และต้องการทราบเหตุผลเพื่อที่เขาจะได้รู้ว่าจะปรับตัว และปรับปรุงอะไรบ้าง เขาคือผู้ชนะ”

สุดท้าย เมื่อถูกให้คำอธิบายว่า สมิธ โรว์ เล่นตำแหน่งใดดีที่สุด ฮัดสัน ตอบว่า “เขาเป็นมิดฟิลด์ที่วิ่งทะลุแนวรับได้ และเล่นริมเส้นได้ทั้ง 2 ฝั่งด้วย เขาไม่ใช่นักเตะที่เล่นได้เพียงตำแหน่งเดียว แต่จริงๆแล้ว เขาชอบเป็นมิดฟิลด์ตัวกลาง”

“แต่เราเคยให้เขาเล่นตัวรุกทางซ้าย 2-3 เกม ถ้าคุณมีตัวรุกฝั่งซ้ายอยู่แล้ว เขาก็สามารถขยับมาเป็นจอมทัพหมายเลข 10 ได้ และหากคุณเล่นในระบบบ 4-3-3 เขาก็สามารถเป็นกองกลางหมายเลข 8 ได้เช่นเดียวกัน แต่ไม่ว่าเขาจะเล่นในตำแหน่งใดตอนนี้มันเป็น อาร์เซน่อล ที่ได้ประโยชน์”

“ผมดูเกมกับ คริสตัล พาเลซ และเห็นว่า เขาเป็นหนึ่งในผู้เล่นที่ดีที่สุดในสนาม เขาเคลื่อนที่ได้อย่างยอดเยี่ยม เขามีความสามารถในการวิ่งเข้าไปในกรอบเขตโทษ เขาเติบโตขึ้นเรื่อย ๆ และ อาร์เซน่อล ก็ไว้วางใจเขามาก มันทำให้เขาพัฒนาอย่างก้าวกระโดด นั่นแสดงให้เห็นว่า เอมิล เป็นผู้เล่นที่ดีมาก”

 

เกาะติดวงการลูกหนังไทยและต่างประเทศ

Line @kickoff69 ได้ที่นี่